ปรากฎการณ์ "เดจาวู" เหตุการณ์ที่เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว[EP2 ภาคต่อ]

 

  คุณเคยบ้างมั๊ยที่อยู่ๆก็แวบเข้ามา ในสมองแล้ว รู้สึกว่า " เหมือนเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่จำไม่ได้ ว่าในฝัน หรือ ในอดีต " เรามาฟังคำอธิบาย หรือประสบการณ์ของคนที่เจอเหตุการณ์ แบบนี้กันดู ดีกว่า "  

ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ ครับ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับ คล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้...... แต่โดย ความเชื่อของผมเองแล้วนั้น ที่เรียกว่าเดจาวูนี่เป็นประสพการณ์ทางจิตที่ เกิดได้กับทุก  
คนและทุกเวลาได้ คือ มันเป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอัน ยาวไกล ( ชาติก่อนๆโน้น ) คล้ายๆกับ ทฦฎีสัมพันธภาพ ของไอน์สไตน์ล่ะ ครับ คือ สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีตจะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีกเหมือน กับการที่ เรากลับชาติมาหลายๆชาตินั่นแหละครับ เราจะผ่านประสพการณ์มาก มาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำของเราแล้วเราย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้ รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน ส่วนโลกคู่ขนาน คือ โลกที่ขนานกับโลกแห่งความจริง ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็มีเราอีกคนหนึ่งในโลกอีกโลก หนึ่ง......เช่นขณะนี้เราได้ตัดสินใจบางสิ่ง  
ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในขณะที่อีกคนของเรานั้นได้ตัดสินใจไปอีกทางทำให้ ชีวิตตนเอง และผู้อื่นเสียหายแต่มันเกิดในโลกคู่ขนาน หรือ บางครั้งคุณอยาก ฆ่าตัวตายแต่คุณล้มเลิก บางทีคุณในโลกคู่ขนานอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ประมาณ นี้ละครับ  

มาดูแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์กันบ้างดีกว่า deja vu เป็นภาษาฝรั่งเศส แปล ว่าเคยได้พบเห็นมาแล้ว แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายว่า เป็นการที่สมองของเรา แปลข้อมูลผิดพลาด พูดง่ายๆก็คือ เราไม่ได้เห็นมาแล้วหรอก แต่เราคิดไปว่า เห็นมาแล้ว  

สมองคนเราก้อเหมือนเครื่องจักรย่อมเกิดข้อผิดพลาดบ้าง การเกิดเด จาว ูคือ เมื่อสมองรับภาพมาจากประสาทตา ก้อนำมาแปลความหมาย เพราะ ฉนั้นสมอง ทั้งสองต้องทำงานประสานกันและไว้มาก เมื่อเกิดสมองข้างหนึ่งเกิดส่งข้อมูลมา ช้าไปเพียงนิดเดียว ก็ทำให้สมองแปลความหมายของภาพนั้นว่าเป็นภาพจากความจำ ไม่ใช้ปัจจุบัน ทำให้เรารู้สึกว่าเหตุการที่เราเจอนั้นเราเคยเห็นมันมา ก่อน...... โดยส่วนมากจะเกิดกับคนที่เป็นลมบ้าหมู และจะเกิดบ่อยมากก่อนที่ จะมีอาการชัก  

มีคนเล่าว่า เขานั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดตอนดึก ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุ ข้างทาง แล้วก็ผ่านไป สักพักก็เห็นอีก เห็นอยู่เรื่อยๆที่สำคัญเป็น คัน เดิม คนเดิมและกำลังหันมามองเขาอยู่ด้วย พอตื่นขึ้นมา รถจอดปรากฏว่า มี อุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนในฝันเป๊ะเลย  

แต่ในบางครั้งมันก็แวบเข้ามาก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดซะอีก บางทีก่อนหน้า เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นตั้งหลายวัน หรืออย่างกรณี นอสตราดามุส จะอธิบายว่า อย่างไร??

 



จิตของมนุษย์เราก็เหมือนกับ Harddisk ที่มีความ จุ infinity ครับ การที่เราดำรงชีวิตในทุกๆ วันนี้ สามารถอธิบายได้ด้วยสิ่ง ที่เรียกว่า "ขันธ์ 5"   ซึ่งเจ้าขันธ์ 5 นี้เป็นแค่องค์ ประกอบ 5 ใน 12 สาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ หรือที่ เรียก ว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ครับ ขันธ์ 5 นั้นประกอบ ด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณครับ 
 รูป ก็หมายถึง กายเนื้อ หรือกายหยาบที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุของโลก ก็คือตัว ที่เป็นเนื้อหนังของเรานี่แหละครับ 
 เวทนา ก็คือความรู้สึก ซึ่งเกิดจากการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 6 (ในทาง พุทธศาสนา ท่านเชื่อกันว่าสัตว์ทั้งหลายนั้นมีประสาท สัมผัส 6 สิ่ง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตสัมผัส ครับ) และรวมไป ถึงความรู้สึกอันเกิดจากสังขาร (เดี๋ยวจะอธิบายต่อครับ) 
 สัญญา คือ ความจำได้ หรือความคุ้นเคยกับอะไรสักอย่าง อย่างเช่นถ้าใครที่ ชอบที่จะถ่ายภาพ รักการถ่ายภาพ ท่านอธิบายว่า เพราะคนคนนั้นมีความคุ้นเคย และเคยรู้สึกรักการถ่ายภาพมาก่อน 
 สังขาร นี่คือการปรุงแต่งของจิตครับ ปรุงแต่งก็คือ การให้ค่ากับสิ่งที่เรา สัมผัสมาเช่นว่า มีใครทำอะไรบางอย่างกับเราแล้วเราไม่ชอบ ท่านก็บอกว่านี่ แหละ การไม่ชอบนี่แหละคือการปรุงแต่งของจิตเราเอง 
 วิญญาณ อันนี้คือตัวรับรู้ความรู้สึกจากการสัมผัสทั้งหมดทั้งมวล 
  
มนุษย์เรานั้นดูแล้วก็เหมือนมี รูป+วิญญาณ พอไปทำกิจกรรมอะไรสักอย่างเราก็ เกิดเวทนา(คือมีความรู้สึกเข้ามาในจิต ซึ่งมีวิญญาณเป็นตัวรับรู้)แล้วเราก็ เอาสังขารเข้าไปแต่งแต้มมัน แล้วเอาไปเทียบกับสัญญาของเราว่าชอบมั้ย ไม่ชอบ มั้ย แล้วก็บันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในจิต (คือออกจะงงๆหน่อยครับแต่ไม่ยาก หรอก คิดดีๆ) 

คราวนี้มันเกี่ยวกับ เดจาวู ยังไง ก็คือว่า จิตของเราก็จะเริ่มรับรู้ ตั้งแต่ชาติพบของเราพัฒนาขึ้นมาจากอนินทรีย์เป็นอินทรียธาตุ มันจะเลิก บันทึกข้อมูลก็ต่อเมื่อเราหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร นั่นคือ เราบรรลุอรหันตผล นั่นเอง 
แม้ว่าจะผ่าน Big Bang มากี่ล้านครั้งก็ตามมันก็ยังเก็บความทรงจำต่างๆ ไว้ งั้นลองจินตนาการสิครับว่าปริมาณข้อมูลจะมหาศาลแค่ไหน? 

ยังได้มีการอธบายต่อไปอีกว่าการเกิด เดจาวูก็เหมือนกับความทรงจำหรือข้อมูลบางอย่างจากจิตเรา นั่นแหละมันหลุดออกมาให้เห็นเป็นบางครั้ง เราจึงร้สึกว่า เอ๊ะ!!!! เคยเห็น เหตุการณ์นี้นี่หว่า แล้วบางคนอาจถามว่า อ้าวในเมื่อจิตที่ เป็น Harddisk นี่อยู่กับเราทำไมเราไม่สามารถเรียกมันมาอ่านเมื่อไรก็ได้ล่ะ 

คำตอบก็คือ เราบันทึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันเราก็พอกพูน กิเลสเข้าไปกับข้อมูลเหล่านั้นด้วย เจ้ากิเลสนี่แหละเป็นตัวทำให้จิตมัน มัว ขุ่น เหมือนลูกแก้วที่มีขี้อะไรต่อมิอะไรพอกอยู่ คิดดูแล้วกันพอกมาแล้ว ตั้งกี่ล้านล้านล้านล้านปี มันก็เลยยากที่จะไปเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ไอ้ ข้อมูลที่บันทึกใหม่ เช่น ความจำเมื่อวานนี้ ยังพอนึกออกใช่ป๊ะ (แต่ก็ยัง ไม่ได้รายละเอียดมากอยู่ดี ลองสิ นึกออกมั้ยเมื่อวานใส่กางเกงเอาขาข้างไหน เข้าก่อน) แต่พอพวกข้อมูลเก่าแก่ เอาแค่การเกิดครั้งที่แล้ว(ชาติที่แล้ว) ยังนึกไม่ออกเลย 

คงเคยได้ยินว่าการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น พอปฏิบัติจนเห็นผลไปมากเข้า จะนึกออกว่าชาติก่อนๆเป็นไง ที่เค้าเรียกกันว่า "ระลึกชาตินั่นแหละ" นั่นก็ เป็นเพราะว่าจิตนั้นเริ่มสงบ มีพลัง สามารถปัดเป่าเอาสิ่งสกปรก(กิเลส)ที่ เกาะจิตอยู่ออกได้บ้าง ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ จิตก็พัฒนาขึ้น สิ่งสกปรกก็จาง ลงๆ เราก็จะพบข้อมูลที่ลึกเข้าไปในจิตมากขึ้น จนสามารถขจัดปัดเป่าสิ่ง สกปรก(กิเลส)ออกไปได้หมด(ในกรณีของพระอรหันต์)เราก็จะเห็นต้นกำเนิดของสรรพ สิ่งได้นั่นก็คือเราจะสามารถหลุดออกไปจากวังวนนี้ได้ 

การแนะนำให้เพื่อนๆ ลองปฏิบัติดู เอาแค่นั่งกัมมัฏฐาน+เดิน จงกรม สัก 10 วัน ก็จะเริ่มเห็นแล้ว อย่างน้อยก็จะรู้ว่า เมื่อวานเอาขาข้าง ไหนเข้ากางเกงก่อน ก้าวท้าวข้างไหนออกจากห้องก่อน แปรงฟันแปรงตรงไหน ก่อน เวลาอาบน้ำสำหรับคนที่ใช้สบู่ รู้ปะว่าใช้มือข้างไหนถูสบู่หรือล้าง ก้น เดาว่าจำกันไม่ค่อยได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องลองนึกๆอยู่สักพักหรือไม่ก็ ใช้ความเคยชิน 

แต่ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าปฏิบัติเหยาะแหยะ พอไม่เห็นผลอะไรเลยก็ตัดสินว่าไม่มี จริงก็ไม่ได้นะครับ การปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ(มากๆ) ยิ่งในรายที่ต้องการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริงๆ ยิ่งต้องทุ่มเทและเดิมพัน ด้วยชีวิต(ไม่ได้เวอร์นะครับ ตอนผมบวชและอยู่ที่วัดป่า ท่านอาจารย์ยัง บอกว่าในรายที่ทุ่มเทจริงๆ เดิมพันทั้งชีวิตจริงๆแบบว่าตายเป็นตายไม่ เสียดายชีวิต ยิ่งเห็นผลเร็วมาก 

ขอฝากอีกสักอย่าง อย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องจิตนี่ มันงมงายไม่เป็นวิทยาศาสตร์  เพราะเคยสัมผัสมาแล้วและก็การันตีได้ว่ามีจริง อีกอย่างในแง่มุม จิตนี่แหละ จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดของมนุษย์ในการค้นหาความจริงของธรรมชาติ อย่าง ที่นักฟิสิกส์ทั่วโลกกำลังหากันอยู่คือ ทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ ทุกอย่างได้ พวก Unified Theory นั่นผมคิดว่าถ้าเรายังมีอุปกรณ์เพียงแค่ ประสาทสัมผัส 5 อย่าง นั่นไม่เพียงพอที่จะหามันหรอกครับ ธรรมชาติยิ่งใหญ่ เกินไปสำหรับประสาทสัมผัสแค่ 5 อย่าง เรื่องความยิ่งใหญ่ของธรรมชาตินี่ ว่าน่าเกรงขามยิ่งนัก อย่างที่ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ไงครับว่า เขารู้สึกเกรง ขามในธรรมชาติทุกครั้งที่เขาเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า 

 




อีกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว มีความเห็นอีกด้านนึง เผื่อจะมีใครสนใจในอีกแง่มุมนึงของเดจา วู
ปรากฎการณ์ เดจาวู เป็นเรื่องที่น่าศึกษาในเรื่องของสรีรวิทยาเนื่องจากให้ คำตอบที่ชัดเจนมากกว่า  ที่กล่าวเช่นนี้เพราะงานเขียนที่ว่าด้วย เรื่องสรีรวิทยาเกี่ยวกับ Deja vu ค่อนข้างชัดเจนกว่าเรื่องของจิตมาก ทั้ง จากตัวอย่างทดสอบจากคนที่เป็นลมบ้าหมู ขณะกำลังชักก็มีโอกาสเกิดอาการนี้ขณะ ถูกลากตัวเข้าโรงพยาบาลเป็นต้น ทฤษฎีที่ว่าพูดถึงเรื่องของการประมวลผลจาก ม่านรับภาพไปยังสมอง ซึ่งทั้งสองภาพ(สองตา)ส่งด้วยความเร็วที่ไม่ควรคลาด เคลื่อนเกิน 0.0025 วินาทีอะไรนั่น (google คงยังเสิชเจอได้อยู่ครับ) 

ส่วนเรื่อง จิต เราน่าจะแยกไปศึกษาในประเด็นของการทำนาย อนาคต(dream predictions)หรือระลึกชาติถึงความทรงจำที่มีมาก่อนกายเนื้อ ที่มีผู้เห็นด้ววยอย่างมาก

ผมไม่ได้เรียนทางด้านนี้ครับ เพียงแต่ช่วงหนึ่งของชีวิตสมัยเด็ก ผมเป็น เด จาวู ติดต่อกันเป็นว่าเล่น อยู่ 2-3 ปี จนตอนนี้ก็ยังแค่พองาม เหมือนคนอื่น ครับ, 

" ทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฏการณ์ Deja vu" มีคำอธิบายทางด้านสรีรวิทยาของ เดจา วู อยู่ ซึ่งหมายถึง ระบบสายตาและระบบประสาท ของตาทั้งสองข้าง ส่งภาพเข้า สมองคลาดเคลื่อนกันเพียงเล็กน้อย  

หลายปีมาแล้ว ที่นักจิตวิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ ข้อเท็จจริงของ เด จา วู , ซึ่งมาจากการที่คนไข้ รู้จักกับสถานที่ที่เพิ่งเคยมาเหยียบเป็น ครั้งแรก แต่กลับแน่ใจว่า เคยมาแล้ว และรู้สึกคุ้นเคยมาก 



-------------------------------------------------------------------------------- 

 

 

Deja Vu  
ในบรรดาประสาทสัมผัส ทั้ง 5 เดจาวู นั้นปรากฏขึ้นกับ สัมผัสด้านการมองเห็น เท่านั้น ส่วนสัมผัสด้านอื่นๆ นั้นแม้จะรับผลกระทบได้เช่นกันแต่ก็ยังไม่ กระจ่างเท่าไรนัก 

จากการสันนิษฐาน สามารถเชื่อได้อย่างแน่ชัด ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการมองเห็นเท่านั้นและอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีสาเหตุมาจาก หลักการด้านสรีรวิทยา(ไม่ใช่ทางด้านจิตวิทยา หรือเป็นพลังจิต ใดๆ) 



เราพิจารณาตามความเป็นไปได้ของคำอธิบายที่ว่า: 


ภาพที่คนในสภาพปกติเห็น เป็นการมองจากตาทั้งสองข้างซึ่งแยกจากกัน  

 ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงทัศนวิสัยแบบ 3 มิติ (หากไม่เข้า ใจ ให้ลองหลับตาข้างเดียว แล้วนำปลายดินสอชนกัน สายตาของท่านจะกะ ระยะ ยากกว่าลืมตาสองข้าง เพราะการมองด้วยตาข้างเดียวทำให้เราไม่เห็นความลึก)  

หากเราใช้หลักการตามคำอธิบายนี้ ก็พิจารณาได้ว่าสมองรับสัญญานจากตาข้าง ที่ 1 และ บันทึกลงในความทรงจำของเราอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นสัญญานจากสายตา อีกข้างเข้ามาถึงในแบบเดียวกัน  
แต่ต่างกันตรงที่สมองจะรับสัญญานที่ 2 โดยเห็นว่า คุ้นเคยมาก และเป็นภาพที่ เคยเห็นมาแล้ว อยู่ในความทรงจำของเรา ภาพที่เห็นจึงรู้สึกคล้ายกับที่เคย เห็นในความทรงจำมากๆ 
(ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นภาพเหตุการณ์เดียวกันเลยล่ะ) เพียงแต่ว่า ภาพที่ เห็นซ้ำนั่น ไม่ได้มาจากความทรงจำ หลายเดือนที่แล้ว หรือหลายปีที่แล้ว  

แต่มันเพิ่งจะบันทึกลงในความทรงจำเมื่อสักครู่นั้นเอง!  

...มาถึงตรงนี้หลายคนที่เคยสัมผัส คงจะเถียงครับ ว่าเคยฝันหรือเคยเห็น นาน มาแล้ว เรามาดูกันต่อ ว่า เค้าจะวิเคราะห์กัน 
ว่ายังไงต่อ 

"ความทรงจำในสมองนั้นไม่สามารถ ประทับเวลาได้เลย" หมายความว่า สมองไม่ สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยความทรงจำนั้นๆ ว่าเกิดขึ้น หรือถูกบันทึกเมื่อไหร่  

...มาถึงตรงนี้แล้ว ยิ่ง งงใหญ่หลายคนคงนึกในใจว่า "อ่าว แล้วกูจำวันที่ จำ วันเกิด จำเหตุการณ์ได้ยังไงว่ามันเป็นวันไหนๆ" ซึ่งข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า 

สิ่งที่ทำให้เราจำได้ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น มาจาก ประสบการณ์ ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเหตุการณ์นั้น มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ วันที่ หรือ เวลา ทำให้เราจำได้ว่าความทรงจำนั้น 
เกิดขึ้นเมื่อไหร่  

ในส่วนนี้ ถ้าหากไม่เชื่อในข้อมูลที่กล่าวมา คิดว่าเราอาจพิสูจน์ได้ หากเรา นับเลขไม่เป็น นับวันไม่เป็น ไม่รู้วันรู้คืน  
แต่ว่าแค่ดวงอาทิตย์ตก พระจันทร์ขึ้น ก็ถือว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวข้องกับเวลา ทั้งนั้น ซึ่งเราใช้สภาพแวดล้อมเหล่านี้ในการพิจารณาวันเวลาของเหตุการณ์ ได้ ทำให้เรารู้วันรู้คืน  

การทดลองเกี่ยวกับจิตวิทยานั้นพิสูจน์มาอย่างต่อเนื่อง ว่า สมองของ มนุษย์ สามารถ จะรู้สึกและจำแนก 2 ภาพเหตุการณ์ ให้ลำดับเวลาต่างกัน  
ก็ในกรณีที่ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมากกว่า 25 milliseconds(0.025 วินาที)  

ซึ่งในผู้คนปกตินั้น คลื่นสัญญานจากตาทั้งสองข้าง ส่งผ่านมายังเส้น ประสาทการมองเห็น มายังสมอง และทำกระบวนการวิเคราะห์ช่วงเวลาที่เกิด เหตุการณ์ขึ้น 
และสมองก็จะแปลสัญญานทั้งสองภาพที่ต่างกันเล็กน้อย จากตาทั้งสองข้าง ให้เรา ฝังใจเชื่อว่าเป็น ภาพเหตุการณ์เดียว ทั้งๆที่ตามหลักแล้วภาพจากตาทั้งสอง ข้างย่อไม่เหมือนกัน 
(เหมือนกล้อง 2 ตัวน่ะแหละ จะเหมือนกันได้ยังไง) 


มาพิจารณากันว่า ถ้าหากคนคนหนึ่งมีสภาพทางสรีรวิทยาที่อ่อนแอลงหรือบาดเจ็บ เกี่ยวกับ การรับสัญญานการมองเห็นด้านหนึ่ง อันเป็นสาเหตุให้ สัญญานภาพนั้น มาถึงสมองช้า 
กว่า 0.025 วินาที 

สมองก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่า สัญญานภาพทั้งสองนั้นมาจากเหตุการณ์เดียว กัน เพียงเท่านั้นสมองก็จะแปลสัญญานภาพให้กลายเป็น Deja Vu 

และเนื่องมาจาก สภาพแวดล้อมขณะนั้นไม่บ่งชี้เวลาที่ต่างกัน ภาพซ้ำที่เกิด ขึ้นจากสมองเราจึงไม่สามาถอาศัยความทรงจำอื่นมาช่วยวิเคราะห์ ว่าเกิดขึ้น เมื่อไหร่ บางคนอาจคิดว่าเคยฝัน แต่บางคนอาจคิดว่าเคยเห็นเมื่อหลายๆปีที่ แล้ว หรือ อาจเป็น ชาติที่แล้ว 

อีกทางหนึ่งก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เพราะกึ่งกลางระหว่างนัยน์ตา ไปยัง สมอง เกิดข้อบกพร่องขึ้น หรือ อ่อนแอลงชั่วคราว (อาจเกิดจาก ความไม่สมดุล ของ electrolyte หรือ 
ชีวเคมี ผิดปกติ) เป็นเหตุทำให้ เกิดความล่าช้าในกระบวนการหนึ่งของสัญญา นทั้งชุด 

อาการบาดเจ็บหรือความอ่อนแอในด้านนั้น อาจมีมาตั้งแต่กำเนิด ในแต่ละเส้น ประสาท หรือ ในสมอง และมันก็อาจเป็นได้ทั้ง สภาวะชั่วคราว ที่เกิดมา จาก เชื้อไวรัส หรือบาดเจ็บมาจากการกระทบกระทั่ง ก็ได้ 

 

6 ธ.ค. 53 เวลา 00:32 16,844 4 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...