เอามาฝาก"นานาสาระน่ารู้"

 

 

 

 

 

ขี้หู อุดตัน...ทำไงดี


โดยปกติขี้หูจะมีการเคลื่อนที่จากเยื่อบุแก้วหูออกไปยังช่องหูชั้นนอกได้เองโดยไม่จำเป็นต้องแคะออก
แต่ที่ขี้หูอุดตันนั้น สาเหตุพบบ่อยที่สุด เกิดจากการใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดช่องหูชั้นนอก โดยเฉพาะหลังอาบน้ำแล้วมีน้ำเข้าหู ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะยิ่งกระตุ้น ทำให้ต่อมสร้างขี้หูทำงานมากขึ้น มีปริมาณขี้หูที่ผลิตออกมามากขึ้น ยิ่งถ้าปั่นหูจนเพลินก็จะยิ่งดันขี้หูในช่องหูให้อัดแน่นยิ่งขึ้น ทำให้ขี้หูอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น
เมื่อสงสัยว่ามีขี้หูอุดตัน ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่า เป็นขี้หูอุดตันจริงหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้ที่ส่องหู ส่องตรวจช่องหูชั้นนอกว่า 

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติของหู เกิดจากขี้หูอุดตันหรือไม่ ถ้าเป็นขี้หูอุดตันจริง.....

1. แพทย์จะพยายามนำขี้หูออกให้ โดยล้างช่องหูชั้นนอกด้วยน้ำเกลือ การคีบ หรือดูด หรือใช้เครื่องมือ
แคะขี้หูออก

2. ถ้าไม่สามารถเอาขี้หูออกได้ เนื่องจากอัดแน่นมาก หรือออกได้เพียงบางส่วน แพทย์จะสั่งยาละลายขี้หู

ไปหยอดที่บ้าน ได้แก่ โซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งหลังจากหยอดหู จะทำให้ขี้หูในช่องหูขยายตัว และอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น ทำให้หูอื้อมากขึ้น ควรหยอดบ่อยๆ ตามที่แพทย์สั่ง เพราะจะทำให้ขี้หูอ่อนตัวมากขึ้น และเอาออกได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ผู้ป่วยหยอดยาละลายขี้หูประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วนัดมาดูอีกครั้ง ซึ่งในวันที่มาพบแพทย์ ผู้ป่วยก็ไม่ควรที่จะลืมหยอดยา เพราะอาจทำให้ขี้หูแห้งและเอาออกยาก 

อย่างไรก็ตาม เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ควรป้องกันไม่ให้ขี้หูอุดตันอีกโดยไม่ใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหู หรือปั่นหูอีก ถ้าน้ำเข้าหูข้างใดอีก ให้โน้มศีรษะไปหูข้างนั้นและใช้ผ้าเช็ดหู ควรป้องกันไม่ให้น้ำเข้า โดยสวมหมวกอาบน้ำ ดึงหมวกให้คลุมถึงใบหู หรือหาสำลีชุบวาสลิน หรือใช้ที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำ ซึ่งมีขายตามร้านกีฬา มาอุดหูเวลาอาบน้ำ
 
รูปภาพ : ขี้หู อุดตัน...ทำไงดี


 โดยปกติขี้หูจะมีการเคลื่อนที่จากเยื่อบุแก้วหูออกไปยังช่องหูชั้นนอกได้เองโดยไม่จำเป็นต้องแคะออก
       แต่ที่ขี้หูอุดตันนั้น สาเหตุพบบ่อยที่สุด เกิดจากการใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดช่องหูชั้นนอก โดยเฉพาะหลังอาบน้ำแล้วมีน้ำเข้าหู ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะยิ่งกระตุ้น ทำให้ต่อมสร้างขี้หูทำงานมากขึ้น มีปริมาณขี้หูที่ผลิตออกมามากขึ้น ยิ่งถ้าปั่นหูจนเพลินก็จะยิ่งดันขี้หูในช่องหูให้อัดแน่นยิ่งขึ้น ทำให้ขี้หูอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น
       เมื่อสงสัยว่ามีขี้หูอุดตัน ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่า เป็นขี้หูอุดตันจริงหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้ที่ส่องหู ส่องตรวจช่องหูชั้นนอกว่า  

        สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติของหู เกิดจากขี้หูอุดตันหรือไม่ ถ้าเป็นขี้หูอุดตันจริง.....

       1. แพทย์จะพยายามนำขี้หูออกให้ โดยล้างช่องหูชั้นนอกด้วยน้ำเกลือ การคีบ หรือดูด หรือใช้เครื่องมือ
       แคะขี้หูออก

       2. ถ้าไม่สามารถเอาขี้หูออกได้ เนื่องจากอัดแน่นมาก หรือออกได้เพียงบางส่วน แพทย์จะสั่งยาละลายขี้หู

       ไปหยอดที่บ้าน ได้แก่ โซเดียมคาร์บอเนต ซึ่งหลังจากหยอดหู จะทำให้ขี้หูในช่องหูขยายตัว และอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น ทำให้หูอื้อมากขึ้น ควรหยอดบ่อยๆ ตามที่แพทย์สั่ง เพราะจะทำให้ขี้หูอ่อนตัวมากขึ้น และเอาออกได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ผู้ป่วยหยอดยาละลายขี้หูประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วนัดมาดูอีกครั้ง ซึ่งในวันที่มาพบแพทย์ ผู้ป่วยก็ไม่ควรที่จะลืมหยอดยา เพราะอาจทำให้ขี้หูแห้งและเอาออกยาก 

        อย่างไรก็ตาม เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ควรป้องกันไม่ให้ขี้หูอุดตันอีกโดยไม่ใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหู หรือปั่นหูอีก ถ้าน้ำเข้าหูข้างใดอีก ให้โน้มศีรษะไปหูข้างนั้นและใช้ผ้าเช็ดหู ควรป้องกันไม่ให้น้ำเข้า โดยสวมหมวกอาบน้ำ ดึงหมวกให้คลุมถึงใบหู หรือหาสำลีชุบวาสลิน หรือใช้ที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำ ซึ่งมีขายตามร้านกีฬา มาอุดหูเวลาอาบน้ำ
.................................................................................................................................................................................
 
......................................................................................................
 
9 สิ่งทำได้ ไม่แก่ง่าย ไม่ตายเร็ว

โดยหลักโภชนาการ 9 ข้อที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย
1.กินอาหารครบ 5 หมู่ หลากหลาย ได้สัดส่วน หมั่นดูแลน้ำหนักตัวเอง
2.กินข้าวเป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะ ข้าวกล้อง มีประโยชน์มาก
3.กินพืชผักให้มากผลไม้กินเป็นประจำ เพราะในผลไม้มีสารอาหารช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ไม่ทำให้เจ็บป่วย เป็นหวัด ประโยชน์ของผลไม้ จะนำเอาสารพิษ น้ำมัน น้ำตาล ออกจากร่างกาย ต้านมะเร็ง หากทานเป็นประจำ
4.กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และเมล็ดถั่วเป็นประจำ
5.ดื่มนมให้เหมาะกับวัย ในวัยเด็กควรดื่มนมรสจืด วันละ 2-3 แก้ว ส่วนในวัยผู้ใหญ่ที่ปกติ ดื่มนมรสจืดวันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพควรดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 1-2 แก้ว หรือปลาที่กินได้ทั้งกระดูก ผักใบเขียว
6.หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล เกลือโซเดียม ที่มากับอาหารเค็ม ของดอง กะปิ น้ำปลา เหล่านี้ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือถ้าหวานมากเป็นพลังงานสูญเปล่า ถ้าร่างกายนำไปใช้ไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมัน
7.กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ให้พอดี ไม่มากเกินไป อย่างอาหารจำพวก ผัด-ทอด ไขมัน เนย กะทิ พยายามกินให้น้อยลง
8.รับประทานอาหารสะอาดปราศจากสารปนเปื้อน และสุดท้ายข้อ
9.งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
 
รูปภาพ : 9 สิ่งทำได้ ไม่แก่ง่าย ไม่ตายเร็ว

โดยหลักโภชนาการ 9 ข้อที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย
       1.กินอาหารครบ 5 หมู่ หลากหลาย ได้สัดส่วน หมั่นดูแลน้ำหนักตัวเอง
       2.กินข้าวเป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะ ข้าวกล้อง มีประโยชน์มาก
       3.กินพืชผักให้มากผลไม้กินเป็นประจำ เพราะในผลไม้มีสารอาหารช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ไม่ทำให้เจ็บป่วย เป็นหวัด ประโยชน์ของผลไม้ จะนำเอาสารพิษ น้ำมัน น้ำตาล ออกจากร่างกาย ต้านมะเร็ง หากทานเป็นประจำ
       4.กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และเมล็ดถั่วเป็นประจำ
       5.ดื่มนมให้เหมาะกับวัย ในวัยเด็กควรดื่มนมรสจืด วันละ 2-3 แก้ว ส่วนในวัยผู้ใหญ่ที่ปกติ ดื่มนมรสจืดวันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพควรดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 1-2 แก้ว หรือปลาที่กินได้ทั้งกระดูก ผักใบเขียว
       6.หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล เกลือโซเดียม ที่มากับอาหารเค็ม ของดอง กะปิ น้ำปลา เหล่านี้ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือถ้าหวานมากเป็นพลังงานสูญเปล่า ถ้าร่างกายนำไปใช้ไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมัน
       7.กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ให้พอดี ไม่มากเกินไป อย่างอาหารจำพวก ผัด-ทอด ไขมัน เนย กะทิ พยายามกินให้น้อยลง
       8.รับประทานอาหารสะอาดปราศจากสารปนเปื้อน และสุดท้ายข้อ
       9.งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
 
........................................................................................
 
20 ไลฟ์สไตล์เศรษฐีที่พวกเขาไม่เคยบอกเรา

1. เราคิดว่าส่วนลดจากโบร์ชัวร์ หรือคูปองตามหน้านิตยสาร คือเงินดี ๆ นี่เอง ถ้าหากตัดเก็บไว้ ก็เหมือนกับเรามีเงินจำนวนนั้น ๆ ในกระเป๋า

2. เราหลีกเลี่ยงความสบายได้เสมอถ้าไม่จำเป็น เช่น ในเที่ยวบินที่บินเพียงไม่กี่ชั่วโมง การเลือกที่จะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดแทนชั้นเฟิร์สคลาสที่แพงกว่า 5,000 บาท มันเปรียบได้กับการที่เราได้เงินเพิ่มมาสำหรับใช้จ่าย 5,000 บาทเลยทีเดียว

3. เรากดเงินออกมาใช้เพียงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายในจำนวนเงินที่มีอยู่ และต้องใช้จ่ายทุกอย่างด้วยเงินสดเท่านั้น

4. แม้เราจะมีเงินเยอะ แต่ก็ยังทานอาหารร้านเดียวกับคนทั่วไป ตัดผมในร้านตัดผมท้องถิ่น นั่นทำให้เรามีเงินเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือยนั่นเอง

5. เราเห็นคุณค่าของขยะ เช่น การเก็บคลิปหนีบกระดาษเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งพร้อมเอกสารในถังขยะไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเมื่อยามจำเป็นต้องใช้

6. เรากล้าที่จะเสี่ยงกับการลงทุน เช่น ลงทุนในหุ้นตัวที่มีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้น แล้วรอขายในเวลาที่เหมาะสม

7. เราเลือกที่จะขอพิจารณาขึ้นเงินเดือนเพียง 9 เดือน แทนการพิจารณา 12 เดือน เพราะจะทำให้เรามีเวลาอีก 3 เดือน ในการขอเพิ่มเงินเดือนหรือโบนัสครั้งต่อไป

8. เราต้องเสียภาษีก้อนโต เป็นจำนวนเงินมากกว่าคนทั่วไปมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็จัดการเรื่องภาษีแทนการจ้างทีมบัญชีมาช่วย

9. เราไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าเยอะแยะ เราซื้อสูทสวย ๆ 3 ตัว ใส่ทุก ๆ 5 ปี โดยเฉลี่ย ไม่ได้ฟู่ฟ่าซื้อเสื้อผ้ามาเต็มตู้เหมือนที่ใคร ๆ คิดกัน

10. เรายอมรับว่าบางครั้งตัวเองเป็นคนหัวสูง อย่างเวลาที่เราไปบ้านคนอื่น เราไม่ชอบดูทีวีจอเล็ก ๆ หรือฟังเพลงจากสเตอริโอที่เสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

11. เราไม่ได้ฉลาดเสมอไปนะ เรามีสมองพอ ๆ กับคนทั่วไปนั่นแหละ

12. เราใช้เงินจ้างเพื่อนเก่า ๆ หรือคนรู้จักที่ขัดสนเรื่องเงินมาทำงานให้ แทนการให้เงินเปล่า ๆ (เพราะพวกเขามักจะไม่รับ) แม้งานนั้นจะไม่มีความสำคัญนักก็ตาม

13. บางครั้งเรายังเอาสบู่ก้อนเล็ก ๆ มาแปะเป็นก้อนเดียวกัน ใช้ยาสีฟันจนเกลี้ยงหลอด และปลูกผักกินเองอยู่เลย

14. คนรวยหลายคนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าราคาแพง ไม่ได้ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นใหม่ ไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่โต และยังใช้รถอายุ 10 ปีอยู่เลย

15. เวลาที่เราซื้อผักและผลไม้ไร้สารพิษจากห้างในราคาแพง เรามักจะค้นหาคำตอบว่าผักผลไม้เหล่านี้มาจากไหน จากนั้นเราก็ไปซื้อโดยตรงจากคนเหล่านั้น

16. เราไม่ได้รับผิดชอบเงินค่าใช้จ่ายของลูกทั้งหมด จากผลสำรวจ 100 ครอบครัวผู้ร่ำรวย พบว่าครอบครัวของคนรวยส่วยใหญ่ไม่ได้ตามใจลูก ๆ ชนิดที่อยากได้อะไรก็ได้ ซ้ำพวกเขาให้ลูก ๆ เรียนรู้ที่จะหาเงินสำหรับเป็นค่าเทอมของตัวเองด้วย

17. เวลาที่เรามีรายชื่อติดหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในหน้าหนังสือพิมพ์ เรามักจะได้รับข้อความจำนวนมากส่งเข้ามาขอเงินเรา

18. เรามองไปรอบตัวเสมอในทุกวัน เพื่อหาไอเดียการลงทุนในชีวิตประจำวันของเรา

19. เราให้ทิปกับช่างผม หรือสาวเสิร์ฟ เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเดือดร้อน โดยไม่ลังเล

20. ชีวิตของเราส่วนมาก เกี่ยวข้องกับคนที่เรารู้จักมาก่อนและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ เพราะเรามีทุกวันนี้ได้โดยเริ่มต้นมาจากการจ้างคนใกล้ตัวและรู้จักมาก่อน นั่นเอง
 
รูปภาพ : 20 ไลฟ์สไตล์เศรษฐีที่พวกเขาไม่เคยบอกเรา

1. เราคิดว่าส่วนลดจากโบร์ชัวร์ หรือคูปองตามหน้านิตยสาร คือเงินดี ๆ นี่เอง  ถ้าหากตัดเก็บไว้ ก็เหมือนกับเรามีเงินจำนวนนั้น ๆ ในกระเป๋า

     2. เราหลีกเลี่ยงความสบายได้เสมอถ้าไม่จำเป็น เช่น ในเที่ยวบินที่บินเพียงไม่กี่ชั่วโมง การเลือกที่จะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดแทนชั้นเฟิร์สคลาสที่แพงกว่า 5,000 บาท มันเปรียบได้กับการที่เราได้เงินเพิ่มมาสำหรับใช้จ่าย 5,000 บาทเลยทีเดียว

     3. เรากดเงินออกมาใช้เพียงสัปดาห์ละครั้ง เพื่อบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายในจำนวนเงินที่มีอยู่ และต้องใช้จ่ายทุกอย่างด้วยเงินสดเท่านั้น

     4. แม้เราจะมีเงินเยอะ แต่ก็ยังทานอาหารร้านเดียวกับคนทั่วไป ตัดผมในร้านตัดผมท้องถิ่น นั่นทำให้เรามีเงินเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือยนั่นเอง

     5. เราเห็นคุณค่าของขยะ เช่น การเก็บคลิปหนีบกระดาษเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งพร้อมเอกสารในถังขยะไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อเมื่อยามจำเป็นต้องใช้

     6. เรากล้าที่จะเสี่ยงกับการลงทุน เช่น ลงทุนในหุ้นตัวที่มีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้น แล้วรอขายในเวลาที่เหมาะสม

     7. เราเลือกที่จะขอพิจารณาขึ้นเงินเดือนเพียง 9 เดือน แทนการพิจารณา 12 เดือน เพราะจะทำให้เรามีเวลาอีก 3 เดือน ในการขอเพิ่มเงินเดือนหรือโบนัสครั้งต่อไป

     8. เราต้องเสียภาษีก้อนโต เป็นจำนวนเงินมากกว่าคนทั่วไปมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็จัดการเรื่องภาษีแทนการจ้างทีมบัญชีมาช่วย

     9. เราไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าเยอะแยะ เราซื้อสูทสวย ๆ 3 ตัว ใส่ทุก ๆ 5 ปี โดยเฉลี่ย ไม่ได้ฟู่ฟ่าซื้อเสื้อผ้ามาเต็มตู้เหมือนที่ใคร ๆ คิดกัน

     10. เรายอมรับว่าบางครั้งตัวเองเป็นคนหัวสูง อย่างเวลาที่เราไปบ้านคนอื่น เราไม่ชอบดูทีวีจอเล็ก ๆ หรือฟังเพลงจากสเตอริโอที่เสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

     11. เราไม่ได้ฉลาดเสมอไปนะ เรามีสมองพอ ๆ กับคนทั่วไปนั่นแหละ
     12. เราใช้เงินจ้างเพื่อนเก่า ๆ หรือคนรู้จักที่ขัดสนเรื่องเงินมาทำงานให้ แทนการให้เงินเปล่า ๆ (เพราะพวกเขามักจะไม่รับ) แม้งานนั้นจะไม่มีความสำคัญนักก็ตาม

     13. บางครั้งเรายังเอาสบู่ก้อนเล็ก ๆ มาแปะเป็นก้อนเดียวกัน ใช้ยาสีฟันจนเกลี้ยงหลอด และปลูกผักกินเองอยู่เลย

     14. คนรวยหลายคนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าราคาแพง ไม่ได้ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นใหม่ ไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่โต และยังใช้รถอายุ 10 ปีอยู่เลย

     15. เวลาที่เราซื้อผักและผลไม้ไร้สารพิษจากห้างในราคาแพง เรามักจะค้นหาคำตอบว่าผักผลไม้เหล่านี้มาจากไหน จากนั้นเราก็ไปซื้อโดยตรงจากคนเหล่านั้น

     16. เราไม่ได้รับผิดชอบเงินค่าใช้จ่ายของลูกทั้งหมด จากผลสำรวจ 100 ครอบครัวผู้ร่ำรวย พบว่าครอบครัวของคนรวยส่วยใหญ่ไม่ได้ตามใจลูก ๆ ชนิดที่อยากได้อะไรก็ได้ ซ้ำพวกเขาให้ลูก ๆ เรียนรู้ที่จะหาเงินสำหรับเป็นค่าเทอมของตัวเองด้วย

     17. เวลาที่เรามีรายชื่อติดหนึ่งในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในหน้าหนังสือพิมพ์ เรามักจะได้รับข้อความจำนวนมากส่งเข้ามาขอเงินเรา
     18. เรามองไปรอบตัวเสมอในทุกวัน เพื่อหาไอเดียการลงทุนในชีวิตประจำวันของเรา

     19. เราให้ทิปกับช่างผม หรือสาวเสิร์ฟ เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเดือดร้อน โดยไม่ลังเล

     20. ชีวิตของเราส่วนมาก เกี่ยวข้องกับคนที่เรารู้จักมาก่อนและรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ เพราะเรามีทุกวันนี้ได้โดยเริ่มต้นมาจากการจ้างคนใกล้ตัวและรู้จักมาก่อน นั่นเอง
 
........................................................................................................................................................................................
 
 
 
 
 
 
ที่มา: เพจ นานาสาระน่ารู้
2 ม.ค. 57 เวลา 08:29 3,049 1 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...