เปิดคู่มือ"พ่อแม่"ในการปฏิบัติตัวเมื่อทราบว่าลูกเป็น"เกย์หรือทอม-ดี้ "

เซซิล เชา เป็นมหาเศรษฐีฮ่องกงอายุ 76 ปี ที่หัวใจและร่างกายไม่เคยแก่

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเขาหลับนอนกับสตรีมาแล้วกว่า 1 หมื่นคน! 

แปลว่าถ้าเขา "มีรัก" ครั้งแรกตอนอายุ 16 เฉลี่ยแล้วก๋งเชา "มีอะไร" กับสตรีแบบวันเว้นวันไม่ซ้ำคนเป็นเวลายาวนานถึง 60 ปี

โม้รึเปล่าก็ไม่ทราบ

ลูกสาวก๋งเชาชื่อ จีจี้ เชา อายุ 33 ปี รูปร่างหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แต่เธอชอบผู้หญิงมาดแมน

พูดไม่อ้อมค้อม เธอเป็นดี้

พ่อเป็นซูเปอร์แมนมีแฟนตั้งหมื่นคน ลูกสาวไปชอบทอมมัน "เก๊กซิม" ที่สุด

ไม่ได้ชอบแบบประเดี๋ยวประด๋าว จีจี้รักทอมฝรั่งเศสเชื้อชาติจีนมานานตั้ง 7 ปี พอรักสุกงอมก็แต่งงานกันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 

เตี่ยรับไม่ได้ เลยประกาศให้รางวัล 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (2,000 ล้านบาท) กับชายใดก็ได้ที่สามารถทำให้ลูกสาวเปลี่ยนใจมารักผู้ชาย

จีจี้ไม่โกรธที่พ่อประกาศให้รางวัลชายที่เปลี่ยนหัวใจเธอได้สำเร็จ เธอกับพ่อยังคุยกันเกือบทุกวันเพียงแต่พ่อต้องการให้เธอปกปิดเรื่องชอบทอมแล้วแต่งงานกับผู้ชายเพื่อหน้าตาทางสังคม

เธอก็พยายามประคับประคองความต้องการของพ่อกับความปรารถนาของเธอมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ต้องขัดใจเตี่ย

ในความเห็นของเธอ การยอมรับเรื่องเกย์เรื่องเลสเบี้ยนในสังคมจีนยังเป็นเรื่องที่ห่างไกล ดังนั้น อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องการให้สิทธิคนเพศเดียวกันแต่งงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่สิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมต่อเกย์-เลสเบี้ยนว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย

ซึ่งจีจี้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คนที่เป็นเกย์-เลสเบี้ยน ต้องมีความซื่อตรงและดำเนินชีวิตด้วยความภาคภูมิใจในทางเลือกของตัวเอง



หลังจากมีข่าวพ่อต้องการให้ลูกสาวเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายสัปดาห์เดียว วันที่ 29 กันยายนก็มีข่าวใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา

นายเจอร์รี่ บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียได้ลงนามรับรองกฎหมายห้ามพ่อแม่ ผู้ปกครองนำลูกหลานหรือผู้เยาว์ซึ่งตามกฎหมายอเมริกาคือผู้ที่ยังมีอายุไม่เต็ม 18 ปี เข้ารับการบำบัดเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้าและอาจรุนแรงถึงฆ่าตัวตาย

นับเป็นรัฐแรกในอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามเรื่องนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 2013

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับกฎหมายห้ามพ่อแม่ผู้ปกครองบังคับลูกให้เข้ารับการบำบัดอาการเบี่ยงเบนทางเพศกล่าวว่า การบำบัดนี้ไม่มีการรับรองว่าจะประสบผลสำเร็จในการทำให้ผู้เข้ารับการรักษาหันมาชอบเพศตรงข้าม

นอกจากนี้ ยังเป็นการละเมิดสิทธิของผู้เยาว์ ลูกเลือกที่จะเป็นอะไร ชอบใคร พ่อแม่จะไปบังคับใจไม่ได้ 

ส่วนฝ่ายที่คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ก็ตอบโต้ว่ากฎหมายนี้ลิดรอนสิทธิของพ่อแม่ในการดูแลลูก 



การบำบัดเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศหรือ เรพาราทีฟ เธราพี (Reparative Therapy) ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสามารถเปลี่ยนความปรารถนาของผู้มีความเบี่ยงเบนทางเพศได้จริง 

ซึ่งสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (The American Psychological Association) ก็ไม่ได้รับรองการบำบัดนี้

นับตั้งแต่ปี 1974 สมาคมจิตวิทยาอเมริกันได้ประกาศว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศไม่ได้เป็นความผิดปกติทางจิต แต่เป็นความชอบที่แตกต่าง โดยได้ถอนหัวข้อการรักเพศเดียวกันออกจากบัญชีรายชื่อความผิดปกติทางจิต

ต่อมาในปี 1992 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ประกาศถอดถอนประเด็นการรักเพศเดียวกันออกจากบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ



หัวอกคนเป็นพ่อแม่ทั่วๆ ไปเมื่อทราบว่าลูกรักคนเพศเดียวกันก็ย่อมช็อก เสียใจ ผิดหวัง 

แต่มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยแนะนำว่า ณ ตอนนั้นขอให้คิดถึงความรู้สึกของลูกก่อนคิดถึงความรู้สึกของตัวเอง เพราะเวลาที่ลูกออกมาเปิดใจกับพ่อแม่ว่าเป็นเกย์หรือทอม-ดี้ ลูกอยู่ช่วงเวลาที่เปราะบาง หวั่นไหว ต้องการความเข้าใจและเห็นใจจากพ่อแม่ 

มีคำแนะนำสำหรับพ่อแม่ในการปฏิบัติตัวเมื่อทราบว่าลูกเป็นเกย์หรือทอม-ดี้ โดยจิตแพทย์ดังนี้

1. ยอมรับในตัวตนของลูก นักจิตวิทยาบอกว่าลูกรู้สึกกลัวอย่างมากเมื่อเปิดเผยให้พ่อแม่ทราบว่าตัวเองเป็นเกย์เพราะกลัวว่าพ่อแม่ผิดหวังหรือไม่รัก ดังนั้น พ่อแม่ต้องทำให้ลูกรู้ว่าไม่ว่าลูกจะเป็นเกย์ทอมหรือดี้ ก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่พ่อแม่มีให้เปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลง

2. อย่าโกรธ หรือผิดหวังในตัวลูก แต่ให้ขอคิดว่าที่ลูกเปิดเผยตัวนั้น เพราะลูกรักเรา และต้องการบอกความจริงให้เราทราบ พ่อแม่ทุกคนพร่ำสอนลูกว่ามีปัญหาอะไรให้บอก ซึ่งปัญหาทุกอย่างมีทางแก้เสมอ เมื่อลูกตัดสินใจบอก ก็ควรดีใจที่ลูกเชื่อฟังในสิ่งที่เราสอน และเชื่อใจว่าเราจะช่วยหาทางออกให้

3. เคารพในการตัดสินใจของลูก แม้เราจะไม่เห็นด้วยที่ลูกเป็นเกย์ทอมดี้ แต่การตัดสินใจที่แตกต่างในดำเนินชีวิต ไม่ควรมาเป็นสิ่งที่ขวางกั้นความรักความผูกพันของพ่อแม่กับลูก

4. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกย์ทอมดี้ เพราะจะช่วยให้เข้าใจว่าเกย์ทอมดี้ก็คือคนปกติทั่วไป เราอาจจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เป็นเกย์หรือทอมหรือดี้โดยที่เราไม่ทราบ เพราะคนเหล่านี้ก็ดำเนินชีวิตปกติเหมือนกับเรา

5. อย่าผิดหวังว่าเมื่อลูกเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยนแล้วจะไม่มีหลานให้ชื่นชม ให้คิดว่าเราไม่ได้มีลูกมาเพื่อให้ลูกแต่งงานมีหลานสืบตระกูล ดังนั้น จึงอย่ากดดันลูกว่าจะไม่ได้แต่งงานมีลูก การบังคับให้ลูกแต่งงานกับเพศตรงข้ามเพื่อหน้าตาหรือมีทายาท จะเป็นการทำลายชีวิตของลูก

6. อย่าโทษตัวเองว่าทำให้ลูกเป็นเกย์หรือทอมดี้ การที่ลูกเป็นเกย์หรือทอมดี้ไม่ได้หมายความว่าเราเลี้ยงลูกผิด และไม่ได้หมายความว่าเราเลี้ยงลูกได้ด้อยกว่าพ่อแม่ที่ลูกชอบเพศตรงข้าม 

7. เข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์ หากลูกต้องการเข้ารับคำปรึกษา ถ้าลูกไม่ต้องการก็อย่าบังคับ 

สมัยนี้ถ้าลูกไม่ติดหรือค้ายาเสพติด ต้องถือเป็นบุญของพ่อแม่แล้วครับ เพศอะไรก็ไม่เกี่ยง

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...