ปรากฏการณ์ “หลับลอย”

 

จนถึงขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน ในกรณีของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ 2 อย่าง นั่นคือ การละเมอเดิน (Sleep Walking) และ การหลับลอย (Sleep Floating) 

 

จากรายงานทางการแพทย์ ผู้มีอาการเดินละเมอ หรือหลับลอย ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิต หรือทางร่างกาย พวกเขาเป็นคนปกติ แต่พบว่าช่วงที่เกิดเหตุประหลาดขึ้น คน ๆ นั้นมักอยู่ในภาวะจิตอ่อน หรือ จิตตก นักจิตวิทยาอธิบายว่า เป็นช่วงเวลาที่คนเรามีจิตใจอ่อนแอมากที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากความโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก ต่อการสูญเสียคนรัก หรือจิตใจถูกกระทบจากความกลัวสุดขีด หรือภาวะร่างกายอ่อนแอมาก

 

อย่างไรก็ตาม การนอนหลับแล้วละเมอลุกจากเตียงมาทำงานที่เคยทำประจำ เช่น หุงข้าวทำอาหาร เดินไปมาอย่างปราศจากจุดหมายปลายทาง หรือออกไปไร่เพื่อถางหญ้าปลูกต้นไม้ อาการเช่นนี้นักจิตวิทยาพอมีคำอธิบายว่า เกิดจากการทำซ้ำบ่อย ๆ ทำให้สมองรับรู้ได้ว่าครั้งต่อไปก็ต้องทำเช่นนี้ จึงสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติโดยอัตโนมัติ

 

 

เคยมีคดีเกี่ยวกับการละเมอเดิน ซึ่งเป็นคดีร้ายแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น ลุกขึ้นมาฆ่าคนตายโดยไม่รู้ตัว เหมือนเป็นอีกร่างอีกบุคลิกหนึ่งของคน ๆ นั้น

 

แต่กรณีการหลับลอย คืออาการที่คนลอยร่างขึ้นจากเตียงในขณะที่ตัวเองหลับลึก บางครั้งลอยวนเหนือเตียงไปรอบ ๆ บ้าน หรือลอยหายไป และไปปรากฏตัวอีกสถานที่หนึ่ง พอรู้สึกตัวก็จำไม่ได้ว่าตนเองมาถึงที่นี่ได้อย่างไร

 

การลอยตัวจากที่นอนได้นั้น เป็รภาวะเกินขีดจำกัดของมนุษย์ที่จะทำได้ หากจะว่าเกิดจากเวทย์มนต์ ก็ไม่น่าเชื่อถือ นักพลังจิตจึงเข้ามาอธิบายปรากฏการณ์หลับลอยว่าเกิดจาก พลังจิตไปกระตุ้นกำลังภายใน และกำลังภายในนั้นเองทำให้มนุษย์ธรรมดาลอยร่างในอากาศได้

 

หากอ้างอิงถึงความเชื่อของชาวพุทธ จะสามารถอธิบายได้ว่า คนเราประกอบขึ้นด้วยกายหยาบ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอวัยวะ 32 ประการ และกายทิพย์ เป็นที่อยู่ของ “สิ่งรู้” หรือดวงวิญญาณ ทั้งสองส่วนนี้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ค่อยได้ก้าวก่ายในหน้าที่ของกันและกัน แต่ก็มีบ้างที่บางครั้งกายทิพย์จะกระตุ้นเตือนกายหยาบถึงภัยอันตรายร้ายแรง ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ “ลางสังหรณ์” หรือนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เรียกว่า ” เดอะ ซิกเซ้นส์” เช่น บางคนนอนหลับฝันไปว่ามีสัตว์ร้าย สะดุ้งตื่นขึ้นมาพบว่า มีงูกำลังจะฉกอยู่พอดี จะเห็นว่าเมื่อเรานอนหลับไม่ได้สติ กายทิพย์ที่ยังรับรู้จะคอยดูแลปกป้องกายหยาบอยู่ และคอยกระตุ้นให้หลีกเลี่ยงอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน

 

อธิบายกันตามหลักวิทยาศาสตร์ กึ่ง ๆ พลังจิต อาจพูดได้ว่า เมื่อร่างกายของเรานอนหลับ ไม่สามารถรับรู้และควบคุมร่างกายด้วยสติได้ ร่างกายจึงอาจลอยไปตามจิตสำนึกที่อยู่ลึกที่สุด ที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับงาน หรือจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่าง จึงล่องลอย หรือเดินไปตามสิ่งนั้น

 

 
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีทีมงานนักวิทยาศาสตร์คณะหนึ่งจากนครมอนทรัล แคนาดา นำทีมโดยเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา แพทเตอร์สัน สแตนลีย์ โครงการวิจัยของเขาตั้งชื่อว่า “โครงการทดลองหาข้อเท็จจริงกรณีคนลอยร่างจากเตียงนอนได้อย่างไร”

ผลการทดลองสร้างความประหลาดใจแด่นักวิทยาศาสตร์ หลังจากที่พบว่าอาสาสมัครลอยร่างจากเตียงนอนแล้วกลับคืนสภาพปกติ ทีมงานวิจัยนำอุปกรณ์ไปตรวจวัดพลังงานแฝงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กำมันตรังสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือหลังงานที่สามารถตัดแรงดึงดูดของโลกได้ แต่ไม่พบพลังงานใด ๆ เลย ร่างคนนอนหลับจู่ ๆ ก็ลอยขึ้นเองด้วยพลังอะไรบางอย่างที่ตรวจสอบไม่พบ

การทดลองนี้ นายแพทย์แพทเตอร์สันให้อาสาสมัครที่เป็นนักศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีจิตวิทยา จิตเวชคลีนิก และจิตวิเคราะห์ จำนวน 50 คน มาอยู่รวมกันในค่ายฝึกแห่งหนึ่งที่มีความสงบเงียบ รวมกับบุคคลภายนอกอีก 50 คน

อาสาสมัครทุกคนได้รับการฝึกอบรมการควบคุมพลังจิตในร่างกาย จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดความดันโลหิต การเต้นของชีพจร และการเต้นของหัวใจ ไว้กับตัวนักศึกษาทุกคน

 

ผลการทดลองได้ผลในระดับที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 3 ราย ดังนี้

 

1. เจสสิกา แอล นักศึกษาจากเมืองเพลนฟิลด์ รัฐเวอร์มอนด์ อายุ 23 ปี ผู้เคยมีประสบการณ์นอนหลับอยู่บนเตียง พอรู้สึกตื่นขึ้นมาก็มาอยู่บนต้นไม้หลังบ้านได้แบบไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเจสสิก้าให้การว่า ครั้งนั้นก่อนนอนได้กินยานอนหลับ เพราะโศกเศร้าที่ถูกแฟนหนุ่มตัดรักไปมีแฟนใหม่ จากการวิเคราะห์เชื่อว่าเจสสิก้าไม่ได้หลับละเมอแต่เป็นการหลับลอย เพราะปกติเจสสิก้าปีนต้นไม้ไม่ได้ และไม่เคยปีน จึงน่าจะลอยไปค้างอยู่บนต้นไม้มากกว่า

 

การทดลองในคืนนั้นพบว่าเธอลอยขึ้นเหนือเตียงแค่สองนิ้ว ค้างอยู่อย่างนั้นสักครู่ แล้วตกวูบลงไป ขณะนั้นความดันโลหิตและชีพจร รวมทั้งการต้นของหัวใจเป็นปกติทุกอย่าง แต่ในคืนต่อมา เจสสิก้าลอยออกนอกหน้าต่างจนทีมงานที่เฝ้าระวังอยู่ต้องจับร่างเอาไว้

 

2. บัค เอ็ม จากเมือง จากเมืองไบลิงส์ รัฐมอนทาน่า อายุ 45 ปี อาชีพขับรถบรรทุกสินค้า เคยมีประสบการณ์ขับรถเทรลเลอร์แล้วหยุดนอนระหว่างทางบนถนนซูปเปอร์ไฮเวย์ เวลานั้นประมาณเที่ยงคืนเศษ เพื่อนของบัค ซึ่งเป็นโซเฟอร์มือสองพบว่าร่างของบัค ลอยจากตัวรถไปหมุนวนบนถนนไฮเวย์สูงจากพื้นราว 10 ฟุต “ครั้งแรกคิดว่าบอลลูน เมื่อฉายไฟดูจึงรู้ว่าเป็นร่างของบัค” รอย เมนเดย์ โซเฟอร์มือสองกล่าว

 

อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับรถเหมือนกัน ชื่อ พอล แจ็คสัน อายุ 52 ปี เขามีประสบการณ์ลอยอยู่ในสวนหลังบ้านของเขาเอง ภรรยาของเขาปลุกสามีโดยการบีบแตรรถยนต์ เพื่อพอลลืมตาขึ้นก็หล่นตุบลงพื้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะสูงจากพื้นแค่ 4 ฟุต

 

บัคและพอล ได้รับเชิญจากคณะวิทยาศาสตร์เข้าร่วมการทดลองทั้งคู่ และปรากฏว่าในระยะเวลา 5 วันที่ผ่านไป ทั้งสองไม่มีอาการหลับลอยหรือเดินละเมอแต่อย่างใด

 

3. ราเชล โอ ชาวเมืองเคนเวอร์ รัฐโคโลราโด อายุ 41 ปี อาชีพผู้จัดการโครงการสร้างหมูบ้านจัดสรรค์ ราเชล เสนอตัวเข้าโครงการเอง เพราะคนใกล้ชิดบ่นเสมอว่าเธอชอบละเมอออกมาหาของกินเวลาตี 1 ตี 2

 

ผลการทดลองในคืนที่ 3 ทีมงานพบว่า ในช่วงเวลาตี 1 เศษ ร่างของราเชลลอยขึ้นจากเตียงช้า ๆ และลอยไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ ร่างลอยออกไปนอกโรงนอน จากนั้นก็หมุนคว้างหลายรอบแล้วค่อย ๆ ลอยลงสู้พื้นหญ้าอย่างนิ่มนวล ตลอดเวลาที่ราเชลหลับและลอยนั้นเธออยู่ในอาการหลับลึก และเธอตื่นหลังจากลงพื้นได้ประมาณ 5 นาที

 

วันรุ่งขึ้นราเชลถูกเชิญตัวมาสอบถาม เธอให้การว่า เธอฝันว่าถูกอสูรกายตัวใหญ่น่ากลัวไล่ล่า เธอพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต และพยายามบังคับร่างให้ลอยหนีอสูรกายนั้น จนสุดท้ายเธอก็ทำสำเร็จ

 

เคิร์ท สามีของราเชล เล่าว่า เขาเคยเห็นราเชลลอยหมุนอยู่ในสวนหลังบ้าน อีกครั้งก็ลอยเหนือเตียงแต่ไม่สูงนัก และราเชลก็เล่าว่าถูกปีศาจร้ายไล่ตามจนต้องเหาะหนีเช่นกัน

 

 

ทั้งสามกรณี นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า อาการหลับลอยไม่สามารถหาคำอธิบายได้ทั้งหมดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่าถ้ามีพลังบางอย่างที่ทำให้เกิดขึ้น พลังนั้นก็น่าจะเป็นพลังจิต

 

นอกจากนี้เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2007 มีรายงานคนหลับลอยในสหรัฐอเมริกา เป็นหญิงวัยกลายคน ผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าหญิงคนดังกล่าวลอยออกมานอกตัวบ้าน ลอยขึ้นฟ้า เหนือหลังคา แล้วหายวับไปราวกับหายตัวได้ รุ่งเช้าหญิงคนดังกล่าวกลับมาเล่าให้สามีฟังว่า ตนเองไปนอนหลับอยู่ที่หน้าโบสถ์ประจำเมืองได้อย่างไรไม่ทราบ …

 

อ้างอิงจาก : นิตยสารแปลกทะลุโลก ฉบับที่ 572
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...