ปราก (Prague) อัญมณีเม็ดงามแห่งยุโรป

กรุงปราก (Prague) หรือที่ออกเสียงแบบท้องถิ่นว่า ปราฮา (Praha)  ถือได้ว่าเป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งยุโรป  ปรากเป็นเมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐเช็ค (Czech Republic)  ซึ่งเป็นประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกนี้เพียงแค่ไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมานี้เอง  แต่จริง ๆ แล้วดินแดนแถบนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี 

 

ดินแดนแถบนี้แต่เดิมเรียกว่าแคว้นโบฮีเมีย (Bohemia)  ปรากเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ของแคว้นโบฮีเมีย และยังเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)  ถึง 2 ครั้ง  ต่อมาถูกปกครองด้วยประเทศมหาอำนาจใหญ่ ๆ มาโดยตลอด จนเพิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่ออาณาจักรออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายลง  จึงประกาศอิสรภาพเป็นประเทศเช็คโกสโลวาเกีย (Czechoslovakia)  แต่ก็ยังถูกครอบครองและครอบงำต่อด้วยนาซีเยอรมัน และคอมมิวนิสต์โซเวียต กว่าจะได้อิสรภาพแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงปี พ.ศ. 2533  และสุดท้ายก็แยกออกเป็นสาธารณรัฐเช็ค และสาธารณรัฐสโลวัก เมื่อปี พ.ศ. 2536 นี่เอง

 

ปรากตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำวัลทาวา (Vltava)  ซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของสาธารณรัฐเช็ค 

 

แม่น้ำวัลทาวาแบ่งเมืองออกเป็นสี่เขตใหญ่ คือ เขตเมืองเก่า (Old Town, Staré M?sto)  และเขตเมืองใหม่ (New Town, Nové M?sto) ทางฝั่งขวาหรือฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ  ปราสาทปราก (Prague Castle, Pra?ský hrad) และเขตเมืองน้อย (Lesser Quarter, Malá Strana) ทางฝั่งซ้ายหรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ

 

สะพานชาลส์ (Charles Bridge) เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดในเมือง และมีชื่อเสียงที่สุด  สร้างบนจุดที่น้ำตื้นที่สุดขนาดเดินลุยน้ำเพื่อข้ามฝั่งได้  พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1357 เพื่อทดแทนสะพานแห่งเดิมที่พังทลายจากน้ำท่วม  สะพานชาลส์เชื่อมฝั่งปราสาทปรากทางตะวันตกเข้ากับเขตเมืองเก่าทางตะวันออก  สะพานมีความยาว 516 เมตร และกว้างถึง 10 เมตร  มีเสาค้ำยัน 16 ต้น  


สองข้างสะพานประดับไปด้วยรูปปั้นของนักบุญในศาสนาคริสต์ทั้งหมด 30 รูป  ที่โดดเด่นที่สุดคือรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St.John Nepomuk)  ตามตำนานบอกว่าท่านถูกโยนลงแม่น้ำวัลตาวาโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เนื่องจากปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับว่าพระราชินีของพระองค์มาสารภาพบาปว่าอะไร  ใต้รูปปั้นมีแผ่นทองเหลืองภาพนูนต่ำ  ว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบแผ่นทองเหลืองนี้จะได้กลับมาเยือนปรากอีก  ผมลูบไปหลายรอบมาก หวังว่าจะได้กลับมาบ่อย ๆ อีก



เวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพโดยปราศจากผู้คนคือยามเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น  เพราะหลังจากนั้นผู้คนจะเบียดเสียดจนแทบจะไม่มีช่องให้ถ่ายรูปเดี่ยวโดยไม่ติดคนอื่น  แถมยังมีนักวาดภาพเหมือนมาตั้งโต๊ะเพื่อวาดภาพนักท่องเที่ยวแลกเงินอีกด้วย  

 

จากสะพานชาลส์ เรากลับมากันที่เขตเมืองเก่า (Old Town) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้าขายมาแต่ยุคกลาง  ในปัจจุบันยังคงมีตลาดนัดทุกวันเสาร์และหน้าเทศกาลต่าง ๆ  เช่นเทศกาลคริสต์มาสหรืออีสเตอร์  

 

บริเวณโดยรอบจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว  เต็มไปด้วยอาคารสวย ๆ มากมายจนเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งได้ทีเดียว  แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือโบสถ์โกธิกสูงใหญ่ มียอดแหลมราวกับเปลวเพลิงพุ่งสูงเสียดฟ้า  มีชื่อว่า Church of Our Lady before Tyn หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโบสถ์ทิน (Tyn Church)  เป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญอันดับสองรองจาก St.Vitus Cathedral ในปราสาทปราก

 

ตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของนักปฏิรูปศาสนาชื่อยาน ฮุส (Jan Hus)  ท่านผู้นี้ต่อต้านความเหลวแหลกฟุ้งเฟ้อของศาสนาคริสต์นิกายแคธอลิกในยุคนั้นเมื่อกว่า 500 ปีก่อน เช่นการที่บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่แอบมีภรรยาลับ  มีการขายบัตรไถ่บาปสร้างความร่ำรวยให้กับสำนักวาติกัน  จนเขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น  เหตุการณ์นี้ทำให้มีการลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจของพวกแคธอลิก  มีการจับบาทหลวงโยนลงมาจากหอคอย  จนเกิดเป็นสงครามฮุสไซต์ (Hussite Wars) ระหว่างฝ่ายที่ยึดมั่นต่อคริสตจักรกับฝ่ายที่ต่อต้าน  ยาน ฮุสจึงถือเป็นวีรบุรุษที่สำคัญคนหนึ่งของชาวเช็ค

 

หอคอยสูง 60 เมตรที่เห็นเป็นส่วนหนึ่งของศาลาว่าการเมืองเดิม (Old City Hall) ใช้เป็นศาลาว่าการเมืองตั้งแต่สมัยยุคกลาง  จากบนยอดหอคอยสามารถชมวิวได้รอบทิศ

 

วิวจากจัตุรัส มองกลับไป Old Town Hall มั่ง

 

ด้านข้างของหอคอยมีนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical clock) สร้างขึ้นกว่า 500 ปีมาแล้ว  ทุกชั่วโมงกลไกจะทำงานให้ตุ๊กตาอัครสาวก 12 คนของพระเยซู ผลัดกันโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง ทักทายฝูงมหาชนแน่นขนัดที่คอยชมอยู่เบื้องล่าง  ขอบอกว่าแอบผิดหวังเล็กน้อยเพราะมันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรเลย  แต่เมื่อ 500 กว่าปีก่อน เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่พัฒนาเหมือนในปัจจุบัน  การใช้กลไกที่ซับซ้อนพอที่จะทำให้ตุ๊กตาหมุนออกมาทักทายผู้คนได้ขนาดนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก  ตำนานกล่าวว่าหลังจากนาฬิกานี้สร้างเสร็จ  คนประดิษฐ์กลไกนาฬิกาชิ้นนี้ถูกควักลูกตาให้ตาบอด เพื่อที่จะไม่สามารถมองเห็นแล้วจะสามารถไปสร้างนาฬิกาแบบเดียวกันนี้ที่อื่น  

 

มุมหนึ่งของเขตเมืองเก่าเป็นชุมชนเก่าแก่กว่าพันปีของชาวยิวชื่อว่าย่าน Josefov  ชาวยิวคือผู้ที่นับถือศาสนายูดายซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่กว่าสี่พันปี  โบสถ์ของชาวยิวเรียกว่าซินากอก (synagogue) ซึ่งมีหลายแห่งด้วยกันในปราก  โบสถ์สีเหลืองในภาพชื่อโบสถ์ Old-New Synagogue เป็นโบสถ์ของชาวยิวที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป  อาคารสีแดงด้านหลังคือ Jewish Town Hall เหมือนกับเป็นศูนย์กลางของชุมชน  มีนาฬิกาสองเรือนบนหลังคา เรือนหนึ่งเป็นเลขโรมัน ส่วนอีกเรือนเป็นเลขฮีบรู (Hebrew) ของชาวยิวและเข็มนาฬิกาจะเดินกลับทิศกับนาฬิกาทั่วไป

 

เนื่องจากชาวยิวอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าพันปี  สุสานชาวยิวจึงแออัดไปด้วยหลุมศพ หินปักหลุมศพเรียงซ้อนกันแน่นขนัดจนกลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของปราก

 

เขตเมืองใหม่  (New town)  ชื่อว่าเขตเมืองใหม่เพราะพระเจ้าชาลส์ที่ 4 ต้องการขยายเมืองต่อจากเขตเมืองเก่าไปทางตะวันออกและทางใต้  แต่คำว่า “ใหม่” คงใหม่เมื่อเริ่มขยายเมืองในปี ค.ศ. 1348 (ราว ๆ ปลายสมัยสุโขทัย)  ซึ่งถึงปัจจุบันก็เกือบ 6-7 ร้อยปีแล้ว  บ้านเรือนยุคกลางของเดิมก็ผุพังลง อาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารจากยุคปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20  ศูนย์กลางของเขตเมืองใหม่คือจตุรัสเวนเซสลัส   (Wenceslas Square)  ที่แห่งนี้มีตำนานการเรียกร้องอิสรภาพมาโดยตลอด มีทั้งนักศึกษาเผาตัวเองประท้วง  มีทั้งนักศึกษาและประชาชนถูกปราบปรามจากการก่อจราจลเรียกร้องอิสรภาพ

 

สุดปลายด้านหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (National Museum) เป็นอาคารทรงนีโอเรอเนซองส์ที่สง่างาม  ข้างหน้าเป็นอนุสาวรีย์ของเซนต์เวนเซสลัส (St.Wenceslas) ทรงม้า  ท่านเป็นดยุกแห่งโบฮีเมียในสมัยศตวรรษที่ 10 และเป็นนักบุญประจำแคว้นโบฮีเมีย

 

Municipal House เป็นอาคารในศิลปะแบบอาร์ตนูโวที่สวยงามที่สุด สร้างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยการรวมรวบช่างฝีมือชาวเช็คเพื่อสร้างสรรค์ศิลปะแบบเช็คขึ้นมาในยุคที่ลัทธิชาตินิยมทวีกำลังมากขึ้น  ภายในมีโรงละครมีการแสดงดนตรีคลาสสิกทุกคืน

 

เราข้ามสะพานกลับไปเที่ยวปราสาทปรากทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำกัน เมื่อมองข้ามแม่น้ำวัลทาวาจากเขตเมืองเก่าจะเห็นหมู่อาคารโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขา คือปราสาทปราก (Prague castle)   ดูเผิน ๆ เหมือนไม่ใช่ปราสาท แต่เป็นเมืองขนาดย่อม ๆ มากกว่า  หนังสือกินเนสบุคบันทึกไว้ว่าปราสาทปรากคือปราสาทโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  มีขนาดเนื้อที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน  



ประตูทางเข้าหลักสู่ปราสาทเหนือทางเข้าทั้งสองข้างประดับด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ ชื่อว่าการต่อสู้ของยักษ์ไทแทน (battling Titans)  รูปปั้นมีขนาดใหญ่จนทำให้ทหารยามดูตัวจิ๋วไปเลย


อาคารที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณปราสาทคือ มหาวิหารเซนต์วิตัส (St.Vitus Cathedral) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นโบสถ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองมากว่าพันปี 


พระเจ้าชาลส์ที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1344 ในศิลปะแบบโกธิกเพื่อแทนโบสถ์หลังเดิม  ใช้เวลาก่อสร้างมากกว่า 500 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง  เรียกได้ว่าเริ่มสร้างในยุคโกธิกและเสร็จในยุคนีโอโกธิก


ภายในจะเห็นโถงแบบโกธิก หน้าต่างประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสวยงามยามแสงจากภายนอกส่องลอดเข้ามา

 

บานนี้โดดเด่นที่สุด เพราะเป็นศิลปะแบบอาร์ตนูโวผิดกับหน้าต่างโกธิกบานอื่น ๆ  เป็นผลงานของศิลปินอาร์ตนูโวที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก Alfons Muchas


ด้านหลังปราสาทมีตรอกเล็ก ๆ เรียกว่า Golden lane  มีร้านขายของซูเวอร์เนียกิ๊บเก๋   เดิมทีเป็นบ้านพักของพวกทหารและคนรับใช้ ต่อมาช่างทองย้ายเข้ามาเปิดร้าน จึงได้ชื่อดังกล่าว 



 
ปรากไม่ได้มีแต่ตึกเก่า ๆ ทรงโบราณเท่านั้น  ตึกที่เห็นชื่อว่า Dancing building สร้างเสร็จในปี 1996  เป็นสัญลักษณ์ของปรากยุคใหม่ 

 


ตึกนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนักแสดงฮอลลีวู้ดคู่ขวัญคู่เต้น Fred Astaire และ Ginger Rogers  จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Fred and Ginger building 


โชคดีที่ปรากไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร จึงไม่ถูกพิษภัยจากสงครามโลกทั้งสองครั้งทำลายจนไม่อาจฟื้นคืนได้ดังเดิม เหมือนเมืองอื่น ๆ ในยุโรป  ปรากจึงเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่เก็บรักษาอดีตอันรุ่งเรืองของยุโรปไว้ให้ชาวโลกได้ชื่นชมในปัจจุบัน สมกับตำแหน่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้

#สาระน่ารู้
OneManShow007
นักแสดงรับเชิญ
สมาชิก VIP
7 ธ.ค. 52 เวลา 13:13 5,665 19 204
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...