ฆาตกรโหดสะท้านโลก ตอนที่ : ชาร์ลส แมนสัน (Charles Milles Manson) ครอบครัวที่รัก

 

คือจะว่าไงดีละ เรื่องที่ผมว่าจะมาลง เขายืมหนังสือข้อมูลไปครับกำลังโหดแค่หน้าเดียวอยู่ เลยลงตอนนี้แทน ไม่รู้จะโหดหรือเปล่า อย่ามาติผมละ มันช่วยไม่ได้นี้น่า

 

 

ชาร์ลส แมนสัน Charles Milles Manson

 

 

ชาร์ลส แมนสันเกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1934 (ที่บอกว่าวันที่ 12 แต่ก็ไม่แน่ชัด  เพราะแม่เขาจำไม่ได้) แม่ชื่อ แคทเธอลีน มาดอกส์ มีอายุเพียง 16 ปี และมีอาชีพเป็นโสเภณี แน่นอนก็มั่วผู้ชายสิ ทำให้ไม่รู้ว่าชาร์ลสมีพ่อชื่ออะไรกันแน่ แต่ตามเอกสารกล่าวว่าพ่อของเขาชื่อคาร์ล สก็อต แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าเขาเป็นพ่อแท้จริงหรือไม่แต่อย่างใด

จากประวัติแม่ของชาร์ส  แคทเธอลีนเป็นเด็กสาวใจแตกที่หนีออกจากบ้าน ตอนที่คลอดชาร์ลสนั้นเธอไม่อยากมีลูกเลยแม้แต่น้อย ทำให้ช่วงระยะเวลหนึ่งที่ชาร์ลสไม่มีชื่อเพราะแม่ไม่คิดจะตั้งชื่อให้ และหลังจากที่เขาได้ชื่อ"ชาร์ลส"มาไม่นานนัก แคทเธอลีนก็แต่งงาน (แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ไม่กี่เดือน) เขาจึงใช้นามสกุล"แมนสัน"มานับแต่นั้น

ตอนอายุ 5 ขวบ ชาร์ลสถูกฝากเลี้ยงไว้กับยายเนื่องจากแม่และพี่ชายถูกจับในคดีปล้มปั๊มน้ำมันและถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลา 5ปี และยายก็ขี้เกียจเลี้ยงเขาเหมือนกันทำให้เขาถูกส่งเวียนไปตามบ้านญาติ จนมาหยุดอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จากนั้นเขาก็หนีออกมาเพื่อเดินทางไปหาแม่ (แคทเธอรีนถูกปล่อยตัวชั่วคราว และอยู่ระหว่างการควบคุมความประพฤติ)

เมื่อแคทเธอลีนเจอหน้าลูก แทนที่จะดีใจ กลับเห็นชาร์ลสเป็นตัวถ่วงและส่งเขากลับไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง แต่ชาร์ลสหนีออกมาและก่อคดีอีกหลายครั้งจนถูกส่งไปอยู่สถานกักกันเยาวชนเป็นครั้งแรก

ชาร์ลเมื่ออายุ 9 ปี และเมื่ออายุ 18 ก็มีชื่อขึ้นบัญชีดำของตำรวจซะแล้ว

ในปี 1955 ชาร์ลสอายุ 21 ปีและแต่งงานกับลูกสาวของคนงานเหมือง แต่ไม่นานก็หย่ากัน และหันมาเป็นแมงดาคุมซ่อง และก่อคดีต่างๆ เช่นการขโมยรถยนต์และการปลอมเช็คจนถูกจับจำคุกเป็นเวลา 7 ปี

ชาร์ลสพ้นโทษในปี 1967  แต่ชีวิตหลังออกจากคุกไม่ดีนัก แถมเป็นโรคจิตอีก

ซึ่งปี 1967 นี้พอดี อเมริกากำลังอยู่ในยุคบุปผาชน สังคมเต็มไปด้วยพวกฮิปปี้หนุ่มสาว LSD และฟรีเซ็กซ์ เซ็กซ์อิสระซะด้วยสิ

ชาร์ลสเมื่อออกจากคุกก็คิดว่านี้คือภาพลักษณ์ที่ใฝ่ฝัน เขาอยากเป็นฮิปปี้ ด้วเทคนิคในการพูด ฝีมือในการเล่นกีตาร์และ LSDพวกวัยรุ่นซึ่งมีอุดมการณ์สูงแต่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตต่างหลงไหลในคำพูดของชาร์ลสจึงมารวมตัวกัน


               และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของ"แมนสันแฟมิลี่"

แมนสันแฟมิลี่หรือเรียกว่าครอบครัวของแมนสัน ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเด็กมีปัญหาจากครอบครัวชั้นกลาง อยากทำเป็นอิสระ และเชื่อใจชาร์ส มากซะด้วยสิ


                โดยสมาชิกในกลุ่มหลักๆ ประกอบด้วย

                 -ซูซาน  แอดกินส์  ลิตา

                  -เพตริเซีย  เครนวิงเคล

                   -เท็กซ์  วัตสัน(เข้ามาอยู่ภายหลัง)

                   -แมรี่ บรูนเนอร์

                    -บ็อบบี้ บัวโซ

                    -ลินดา คาซาเบียน

ในช่วงปี 1968 ชาร์ลสรู้จักกับเดนิส วิลสันซึ่งเป็นสมาชิกของวงบีชบอย และสนิทสนมกันจนเกือบจะออกอัลบั้มเพลงคู่กัน แต่โครงการนี้ก็ล้มซะเสียก่อน

แมนสันแฟมิลี่เข้าพักในคฤหาสน์ของเดนิสเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็อยู่ไม่นานแหละ เพราะพวกแมนสันก่อปัญหามากมายทั้งเรื่องขโมยของมั่งล่ะ ไม่คืนเงินที่ยืมไปมั่งล่ะ พังรถเฟอรารี่มั่งล่ะ โดยรวมๆแล้วเป็นความเสียหายถึงแสนดอลลาร์ทีเดียว เดนิสก็ทนไม่ไหวสิเลยได้แนะนำให้ชาร์ลสรู้จักกับเท็กซ์ วัตสัน (ซึ่งชายคนนี้เองที่กลายมาเป็นมือขวาของชาร์ลสในภายหลัง)

ในเวลาต่อมา แมรี่ บรูนเนอร์ และซูซาน แอดกินส์คลอดลูกให้กับชาร์ลส ทำให้แมนสันแฟมิลี่กลายเป็นครอบครัวใหญ่ พวกเขาย้ายที่ไปอาศัยอยู่ในฟาร์มโดยทำงานเล็กๆน้อยๆแทนค่าที่พัก ทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขามั่นคงในระดับหนึ่ง เวลาหิวก็มีอาหารเหลือที่ขอแบ่งมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่พอก็ขโมยรถมาขายหาเงินเลี้ยงพรรคพวก

ก็เป็นชีวิตปกติสุขอยู่หรอก ถ้าไม่วันหนึ่งชาร์ลสเกิดใฝ่ฝันเขาอยากจะยิ่งใหญ่เหมือนบีเทิ่ลส์ แล้วจู่ๆเขาก็เริ่มพูดถึง"วันสิ้นโลก"

ที่มาของเรื่องนี้ก็มาจาก "ไวท์อัลบั้ม"ซึ่งเป็นงานในช่วงท้ายๆของบีเทิ่ลส์นี่เอง ชาร์ลสอ้างว่าเพลงในอัลบั้มนี้มีความเกี่ยวพันกับแมนสันแฟมิลี่อย่างลึกล้ำ (คิดไปเอง) ข้อความในเนื้อเพลงมีหลายที่ซึ่งชี้ไปถึงแมนสันแฟมิลี่ (คิดเอาเอง) โดยเฉพาะเพลง Helter Skelter ของเซอร์พอล แมคคาทนีย์ ซึ่งชาร์ลสบอกว่าเนื้อเพลงนี้กล่าวถึง"คำนายของวันสิ้นโลก"(โลกไหน)

 

เนื้อเพลงบางส่วนจาก เฮลเทอร์สเคลเทอร์

“When I get to the bottom I go back to the top of the slide

?         Where I stop and I turn and then I go for a ride

?         Til I get to the bottom and I see you again

?         Do you, don't you want me to love you

?         I'm coming down fast, but I'm miles above you

?         Tell me, tell me tell me, c'mon tell me the answer

?         Welll you may be a lover but you ain't no dancer

?         Look out !

?         Helter Skelter, Helter Skelter, Helter Skelter

?         When I get to the bottom I go back to the top of the slide

?         Where I stop and I turn and then I go for a ride

?         Til I get to the bottom and I see you again

?         Do you, don't you want me to love you

?         I'm coming down fast, but I'm miles above you

?         Tell me, tell me tell me, c'mon tell me the answer

?         Welll you may be a lover but you ain't no dancer

?         Look out !

?         Helter Skelter, Helter Skelter, Helter Skelter

 

"ในไม่ช้าจะเกิดสงครามระหว่างคนขาวกับคนดำจะเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นชนวนนำไปสู่สงครามปรมาณู คนดำจะเป็นฝ่ายชนะ แต่เนื่องจากพวกมันไม่มีความสามารถในการปกครอง พวกเรา แมนสันแฟมิลี่โดยมีข้าเป็นผู้นำจะเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอด และกลายเป็นผู้ปกครองโลกตอลดกาล"

                

ฟังดูไร้สาระ แต่ในเมื่อชาร์ลสเชื่อ แมนสันแฟมิลี่ก็เชื่อด้วย จากตรงนี้เองที่พวกเขาเริ่มคิดถึงการก่ออาชญากรรมแล้วป้ายความผิดให้กับคนผิวดำ (เพื่อให้สงครามเกิดขึ้นเร็วๆ)

25 กรกฎาคม 1969 แมนสันแฟมิลี่บุกเข้าบ้านพ่อค้ายา การี่ ฮินแมนโดยอ้างว่าเพื่อทวงเงินที่การี่ติดหนี้พวกเขาไว้ แต่การี่เกิดขัดขืนและด่ากลับมา ชาร์ลสก็ใช้ดาบตัดหูการี่และออกคำสั่งให้ฆ่า  และแล้วบ็อบบี้ บัวโซเลยล์ก็อาสาเป็นคนแทง แล้วแมรี่ บรูนเนอร์กับซูซาน แอดกินส์ก็เขียนคำว่า"POLITICAL PIGGY"ด้วยอักษรเลือดบนกำแพงและวาดรูปเล็บเสือไว้เพื่อแสร้งว่าเป็นฝีมือของแบล็คแพนเธอร์ (กลุ่มคนผิวดำหัวรุนแรง)

ศพของการี่ บัวโซ ถูกพบอีก 1 อาทิตย์ให้หลัง ต่อมาบัวโซก็ถูกจับขณะขับรถเฟี้ยตที่ขโมยมาจากบ้านการี่ และอีก 2 วันให้หลัง แมรี่ บรูนเนอร์ก็ถูกจับในข้อหาครอบครองบัตรเครดิตที่ขโมยมา

แต่กระนั้นเรื่องนี้ชาร์ลสหยุดก่อกรรมทำเข็น เขายังเลือกเป้าหมายก่อกรรมอีก

เป้าหมายรายถัดมาของพวกชาร์ลสคราวนี้เป็นคฤหาสน์เก่าของเทรี่ เมลเชอร์ ซึ่งเป็นเรคอร์ดโปรดิวเซอร์ซึ่งยกเลิกสัญญาแผ่นเสียงของชาร์ลส ในตอนนั้นเทรี่ย้ายบ้านไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าของคนปัจจุบันคือผู้กำกับหนัง โรมัน โปแลนสกี้และภรรยาของเขา ดาราสาว ชารอน เทท อายุ26 ปี

โรมัน  โปแลนสกี้ เป็นผู้กำกับหนังดังซะด้วยสิ  ผลงานการกำกับภาพยนตร์แต่ละเรื่องทำเงินทั้งนั้น เช่นเรื่อง Rosemary's Baby (1968) และ Chinatown (1974) แถมชีวิตครอบครัวก็ดีอีกเพราะได้แต่งงานกับดาราสาวสวย  ชารอน  เทท  ซึ่งใครๆก็คิดว่าเขาเป็นผู้ที่โชคดีมาก

ในตอนนี้ ชารอน เททกำลังท้องแปดเดือนและมีกำหนดคลอดในอีกไม่ช้า ชีวิตกำลังหวานชื่นรื่นรมย์

แต่ชาร์ลสยังไม่ทราบเรื่องว่านี้

และนี้คือคดีนี้ก็กลายเป็นคดีฆาตกรรมโลกตะลึงในบัดดล!!

วันที่ 8 สิงหาคม 1969

วันนั้นโปแลนสกี้มีธุระจึงไม่อยู่บ้าน แต่กระนั้นที่บ้านนี้กำลังจัดดินเนอร์แบบกันเองกันเองระหว่างเพื่อนด้วยกันเอง  หลังมื้อค่ำ  เธอและพวกเขาก็นั่งคุยตามสบายอารมณ์

โดยคนในงานนั้นนอกจากเททภรรยาโปแลนสกี้แล้วก็มีเพื่อนของเธอ เจย์ เซบริงก์ (แฟนเก่าของเทท), อาบิเกล ฟอลเกอร์(ทายาทเศรษฐีพ่อค้ากาแฟ) และวอยเทค ฟรีโควสกี้ (คนรักของอาบิเกล) อยู่บ้านพอดี

ความตายเริ่มมาใกล้พวกเขาแล้ว...                     

ฆาตกรปิศาจและกลุ่มสาวกนรกทั้ง4คน กำลังเตรียมการอยู่นอกบ้านพอดี

ชาร์ลสเริ่มสั่งให้ เท็กซ์ วัตสัน สมุนมือขวาปีนขึ้นเสาไฟไปตัดสายไฟ จากนั้นก็นำซูซาน , แพทรีเชีย เครนวิงเคลกับลินดา คาซาเบียนเข้าไปในบ้าน มันช่างง่ายดายเสียยิ่งกะไร

ก่อนจะเข้าบ้าน ทันใดนั้นเอง สตีเว่น พาเรนท์ซึ่งขับรถมาเยี่ยมแม่บ้าน เกิดเห็นพวกเขาพอดี และเมื่อสตีเว่นถามว่าพวกเขาเป็นใคร เท็กซ์ก็หันปืนเล็งสตีเว่นและยิงใส่หัวเขา 4 นัด

สตีเว่นตายในทันที

เท็กซ์ปีนเข้าห้องเด็ก และแอดกินส์กับเครนวิงเคลก็เข้าทางประตู คาซาเบียนยืนดูต้นทางอยู่ข้างนอก (ภายหลังคาซาเบียนเกิดสำนึกผิดต่อการฆาตกรรมนี้จึงให้ความร่วมมือกับตำรวจ)

แอดกินส์ใช้มีดบังคับให้คนทั้งสี่มารวมกันที่ห้องโถง และเมื่อเท็กซ์ใช้ปืนสั่งให้เชลยหมอบลงกับพื้น เซบริงก์เกิดขัดขืนกระโจนเข้าสู้ เท็กซ์ยิงทะลุปอดของเซบริงก์แต่เขายังไม่ตายและยังขัดขืนไม่เลิก เท็กซ์จึงใช้มีดเสียบไม่ยั้งแบบรั่วจัด จนเซบริงก์ตายสนิท

จากนั้นพวกเขาก็แขวนศพของเซบริงก์เข้ากับขื่อแล้วผูกปลายเชือกอีกข้างกับคอของเททและอาบิเกล (ในขณะนั้นทั้งสองต้องยืนเขย่ง ไม่เช่นนั้นเชือกจะรัดคอ)

เท็กซ์สั่งให้แอดกินส์ฆ่าฟรีโควสกี้ซึ่งเขาก็สะบัดหลุดหนีออกไปทางสวน แต่ก่อนที่จะออกพ้นบ้านนั้นเอง ฟรีโควสกี้ก็ถูกแทงจากข้างหลังนับครั้งไม่ถ้วน

คาซาเบียนซึ่งเห็นเหตุการณ์จากนอกบ้านพยายามห้าม แต่ไม่มีใครสนใจฟัง เท็กซ์ยิงฟรีโควสกี้ 2 นัดแต่เขาไม่ตายเสียที ทำให้ต้องใช้ปืนทุบซ้ำๆจนเขาเสียชีวิต

อาบิเกลปลดเชือกที่พันคอตัวเองหลุดจึงหนีออกไป แอดกินส์ไล่ทันและแทงเธอ เท็กซ์ตามมาสบทบ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันแทงอาบิเกลจนตาย

เมื่อพวกเขากลับมายังห้องโถงอีกครั้ง ส่วน ชารอน เทท ก็พยายามหนี แต่หญิงท้องแก่จะมีแรงหนีไปไหนไกลได้ พวกชาร์สกลับมาจัดการเธอ โดยเท็กซ์สั่งแอดกินส์ฆ่าเทท

ชารอน เททพยายามร้องขอชีวิตสุดชีวิต ขอให้เห็นแก่เด็กในท้องบ้างเถอะ

                ไม่มีใครฟัง แอดกินส์ เท็กซ์และเครนวิงเคลช่วยกันแทงเธอถึง 16 แผล จากนั้นก็ใช้มีดผ่าท้องของเธอจนเหวอะหวะ  และถูกไม้ตีที่ศีรษะซ้ำ

              แต่ทว่า  ฆาตกรนรก พวก ชาร์ลส์  แมนสัน  ยังไม่สะใจ  พวกมันจับเธอ  มัดโยงกับเพดานแขวนไว้  พวกมันตัดเต้านมของเธอทิ้งทั้งเป็น  แล้วใช้มีดเล่มนั้นชำแหละกรีดตั้งแต่บริเวณยอดอก  จนถึงหัวหน่าว

              เลือดสดๆของเธอกระจายเต็มบ้าน  มิหนำซ้ำ  สาวกปิศาจ  ชาร์ลส์แมนสัน  ยังใช้แปลงจุ่มเลือดเขียนคำว่า "PIG"ตัวโตไว้ที่บานประตูบ้าน


              

14 มิ.ย. 53 เวลา 18:47 10,089 1 36
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...