แก่ง่ายตายช้า...หนุ่มกว่าตายก่อน

 

 




ได้ทีแล้วบรรดาผู้หญิง...อย่างเรา ล้อมวงกันเข้ามาฟังข่าวดี ต่อไปนี้ไม่ต้องเจ็บใจเวลาที่ใครเหน็บว่า "แก่ง่าย-ตายช้า" เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกที่ชอบหลงตัวเองว่าหนุ่มกว่านั้นน่ะ...จะตายก่อน แล้วเมื่อถึงเวลานั้นผู้หญิงอย่างเราก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองให้เช้งวั๊บ

.


   


 
ฉันไม่ได้เขียนยุแยงให้ใครต่อใครเขาแตกคอกันหรอกนะคะ แต่ก็อดหมั่นไส้คำค่อนขอดของบรรดาสามีทั้งหลาย ที่ชอบพูดต่อหน้า (เพื่อน แต่ลับหลังภรรยา) ทำนองว่า แก่ง่าย ตายช้ามั่งล่ะ หรือทุกอย่างหย่อนยานหมดยกเว้นหู (ตึง) มั่งล่ะ ภรรยาน่ะนะอยู่กันมาแต่แรกก็ว่าดีว่าสวย งดงามเหมาะสม พอนานไปก็คอยแต่จะค่อนว่าสวยไปหมด (หมายถึงความสวยน่ะไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ไม่รู้อะไรแล้วล่ะ)

ก็แหม! อะไรมันจะคงทนถาวรได้เหมือนนิสัย (บางอย่าง) ของบรรดาพ่อเจ้าประคุณล่ะคะ ของธรรมชาติสร้างมา มันก็ต้องเสื่อมโทรมลงไปตามกาลเวลา แต่ถ้าอยากจะให้ตึงเต่ง ตั้งตูม ก็ต้องไปพึ่งศัลยกรรม หรือเข้าคอร์ส "สวยด้วยแพทย์" ตามสถานที่มีให้บริการต่างๆ ของอย่างนี้...ถ้ารวยก็สวยได้นะเจ้าคะ เอาเงินมากองเอาทองมาให้ก่อนเถอะ รับประกันว่า เจ้าป้าก็เจ้าป้าเถอะ...จะตึงกว่าให้ดู (หูนะ)

สังขารมันไม่เที่ยงนะ ยุบหนอพองหนอเป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงต้องรับภาระหน้าที่ในการสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ ร่างกายสร้างมาให้รองรับการตั้งครรภ์ เป็นแหล่งอาหารของตัวอ่อน ทั้งยังต้องทำหน้าที่ให้ตัวอ่อนฝังตัวในท้อง และย่อยอาหารผ่านทางสายสะดือ ธาตุอาหารต่างๆ ตัวอ่อนสามารถดูดซึมได้หมด เพื่อเอาไปสร้างชีวิตใหม่ จนขนาดฟันผุ กระดูกกร่อนกันเลย สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ได้รับแคลเซียมเสริมไม่เพียง

 
   
 


รับหน้าที่ขนาดนี้ แต่ผู้หญิงกลับอดทนกว่าผู้ชายแฮะ

หรือหากมองกลับกัน เพราะต้องรับหน้าที่ดำรงเผ่าพันธุ์ และฟูมฟักเลี้ยงดูทารก ทำให้เพศหญิงอดทนได้มากกว่าเพศชาย ในขณะเดียวกันเพศชายก็แข็งแรงกว่าเพศหญิง (สมัยนี้ไม่รู้นะ เพราะดูท่าว่าจะมีเพศที่ 3 เพศที่ 4 เพศที่ 5 กันมาเรื่อยๆ จนแยกไม่ถูกแล้วว่าใครเพศไหน หรือจะย่างเข้าสู่ยุคไร้เพศซะแล้วก็ไม่รู้)

เพศหญิง กับเพศชายนั้นแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพศหญิงรับบทบาทดูแลบ้าน เลี้ยงลูก เพศชายล่าสัตว์หาอาหาร ซึ่งต้องผจญกับการเสี่ยงภยันตรายนานา จากสัตว์ป่าและอื่นๆ ทำให้ในสมัยก่อนนั้น เพศชายตายก่อนแน่นอน เพศหญิงยังอยู่ดี เพื่อรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกหลานต่อไป..

   
 


มายุคสมัยนี้ เพศหญิงยังคงทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตรอยู่ แต่เพิ่มหน้าที่ในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัวมากขึ้น เพราะเป็นยุคที่เธอเหล่านั้น (ใครกันหนอ) ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิสตรี และความเท่าเทียม (เข้าทางเพศชาย สบายไป ...มาเลย มาเลย มาช่วยกันทำงานหาเงินสร้างครอบครัว) แต่ผู้ชายที่ดีก็มี (บ้าง) ที่รู้ดีว่าเมื่อผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้านก็ต้องเหนื่อยกลับบ้าน ก็ช่วยกันเลี้ยงลูก ช่วยกันทำงานบ้าน ก็เท่าเทียมได้ โดยไม่ต้องงัดโวหารเก่าคร่ำครึมมาเอาชนะกัน ประมาณว่าอยากเท่าเทียมเหรอ ?...ไหนเธอลองยืนปัสสาวะซิ หรือทำไมผู้ชายไม่รับหน้าที่ท้องดูบ้างล่ะว่า มันลำบากขนาดไหน..

   
 


ถ้าเพียงแค่เรายอมรับการแบ่งสรรหน้าที่โดยธรรมชาติ แล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อาจปรับเปลี่ยนบทบาทตามยุคสมัยแต่ยังอยู่บนความสมดุลของการเท่าเทียมทางด้านความรู้สึก และการให้เกียรติกัน เราก็จะอยู่กันได้อย่างผาสุข มีบ้านเอื้ออาทรไว้สร้างฐานรากให้กับสังคม

แต่อย่างไรเสีย...ผู้ชายก็จะตายจากไปก่อน
ถึงแม้จะไม่เสมอไปทุกราย แต่ก็มีอัตราเฉลี่ยที่มากกว่า
เพราะ...ปัจจุบันผู้หญิงจะมีอายุขัยเฉลี่ยสูงกว่าผู้ชาย อย่างน้อย 5 ปี

   



เหตุผลที่ทำให้เพศหญิงมีอายุยืนยาวกว่าเพศชายนั้น แต่เดิมเข้าใจกันว่ามาจากยีนที่แตกต่างกัน จนกระทั่งผลการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน the American Journal of Public Health ระบุว่า "นิสัย" ของเพศชายนั่นแหละที่เป็นสาเหตุของการ "ตายไว" หลังจากที่ไปเสียเวลาศึกษาค้นคว้า "ความแตกต่างของยีน"ระหว่างเพศหญิงและเพศชายอยู่ตั้งนาน กลับพบว่าส่วนสำคัญกลับกลายเป็นสิ่งที่เพศชายสร้างขึ้นเอง นั่นคือ "นิสัย"

   



การวิจัยชิ้นนี้เกิดจากความอยากรู้ของผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ Mr.David Williams นักวิจัยอาวุโสประจำ The University of Michigan's Institute for Social Research ซึ่งหมอคงสงสัยมานานแล้วว่าทำไมหนอ ผู้หญิงถึงแก่ง่ายตายช้าอย่างนี้ แล้วทำไมผู้ชายแข็งแรงอย่างเราถึงได้ตายไวกันนัก

จากผลการวิจัย คุณวิลเลียมก็สรุปว่า มีเหตุผลมากกว่า 15 ข้อ ที่ทำให้ผู้ชายตายก่อนผู้หญิง ซึ่งอันนี้ไม่นับรวมโรคอัลไซเมอร์ที่เป็นสาเหตุการตายของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเท่าตัว การฆ่าตัวตายที่เพศชายนิยมมากกว่า การฆาตกรรมที่เพศชายก็ถูกฆ่าตายมากกว่า รวมไปถึงอุบัติเหตุที่ดูเหมือนว่าจะรอคร่าชีวิตเพศชายกันเลยทีเดียว..

   



นายวิลเลียมบอกว่า " ตลอดทุกช่วงอายุของเพศชายอย่างเรานะครับ ช่างน่าสงสารอย่างมาก เพราะโอกาสเสี่ยงที่เราจะต้องเสียชีวิตไปก่อนสตรีที่เรารักนั้นมีมากเหลือเกิน..." ลองมาดูตัวอย่างงานวิจัยของเขา จะพบสาเหตุที่คุณวิลเลียมบอกว่า นี่แหละ...ตายเพราะอย่างนี้แหละหนา

ผู้ชายสูบบุหรี่มากกว่าผู้หญิง (ผู้ชาย 26% ผู้หญิง 22% นี่ยังไม่นับเรื่องผู้หญิงดับบุหรี่เร็วกว่าผู้ชายนะ) ผู้ชายดื่มเหล้ามากกว่าผู้หญิงหนึ่งเท่า และแน่นอนดื่มหนักกว่าด้วย ผู้ชายติดยาเสพติดมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายมีอาชีพที่เสี่ยงตายมากกว่าผู้หญิง ผู้ชายเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะบนทางด่วน ผู้ชายเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วมีอัตราตายมากกว่าผู้หญิง เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่า เช่น ขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ผู้ชายมีโอกาสตายจากภัยธรรมชาติ ประเภทน้ำท่วม ฟ้าผ่ามากกว่าผู้หญิง รวมไปถึงการจมน้ำในรูปแบบอื่นๆ (อ้างอิงจากการศึกษาเดิมของ นาย Thomas Songer จาก University of Pittsburgh School of Public Health)


   



เมื่อดูๆ สาเหตุแห่งการจบชีวิตของเพศชายที่ "ไปไว" กว่าหญิงแล้ว นายวิลเลียมก็ฟันธงลงไปว่า สาเหตุที่ทำให้เพศชายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จนอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าเพศหญิงนั้นมาจาก วัฒนธรรม ความเชื่อ และสิ่งที่สั่งสมมาเป็นวิถีปฏิบัติของเรานั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "ลูกผู้ชาย" ซึ่งพอโสตประสาทได้รับฟังคำนี้แล้ว มีอันต้องฮึกเหิมขึ้นมาทุกที อันจะนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงๆ ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะความเป็นลูกผู้ชายนั้นแล

ทัศนคติเรื่อง "ลูกผู้ชาย" นี้ ยังทำให้เพศชายละเลยการดูแลใส่ใจตัวเอง โดยคิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว คงไม่เจ็บป่วยแน่ และไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจเช็คร่างกายแต่อย่างใด ยืนยันได้จากผลการเปรียบเทียบ การเข้ารับการตรวจร่างกายประจำปีระหว่างชายหญิง พบว่าผู้หญิงตรวจร่างกายมากกว่าผู้ชายเท่าตัว โดยอย่างน้อยๆ ผู้หญิงจะไปพบแพทย์ปีละครั้ง เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกาย ส่วนผู้ชายนั้นไม่ต้องพูดถึง ยังไม่เห็นความสำคัญของการตรวจสภาพร่างกายเลย หนำซ้ำเพศชายยังชอบวิเคราะห์ความเจ็บป่วยด้วยตัวเอง และให้ยาตัวเองเสร็จสรรพโดยไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคที่เกิดจากความเครียด รวมทั้งโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง..

   



ทั้งหมดนี้เป็นผลการวิจัยที่ว่าด้วย เพศชายทำไมตายเร็ว ซึ่งทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าจะทำไปเพียงเพื่อ ตอกย้ำให้เพศชายได้หันมาดูแลใส่ใจตัวเองให้มากกว่าก่อน โดยเน้นว่า ผู้ชายนั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อดูแลครอบครัวเท่านั้นยังต้องดูแลตัวเองด้วยนะ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก (และตอนนี้มีเพิ่มมาคือ มะเร็งเต้านมในเพศชาย)

หันมามองดูบ้านเราบ้าง ...ฉันว่าชายไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าหญิงไทยแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพฤติกรรมเสี่ยงที่คุณวิลเลียมว่าไว้นั้น ยังน้อยไป หากมาเทียบกับวิถีชีวิตของชายไทย หรือหากเอาระเบียบวิธีวิจัยที่ทำในอเมริกามาวัดชายไทย รับรองได้ว่าจะต้องได้หัวข้อปัจจัยที่ทำให้เพศชาย (ไทย) ตายไวมากขึ้น อาทิ

ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อค ...ตาย เมาสุรา อาละวาด โดนโต๊ะข้างๆ เขม่นหน้า ...ตาย ร้องคาราโอเกะ อยู่ดีๆ เพื่อนมาจากไหนไม่รู้ โมโหอยากร้องไม่ได้ร้อง ...ตาย ขับรถปาดกัน ไม่พอใจลงไปโวย ...ตาย เดินอยู่ดีๆ แต่เผอิญใส่เสื้อสถาบันแห่งหนึ่ง เจอคู่อริ (ของใครก็ไม่รู้)...ตา

   
.


ดูเหมือนว่าบ้านเราเพศชายจะตายกันง่ายดายเหลือเกิน ฉันไม่ได้หมายถึงว่าเพศหญิงตายยากหรอกนะ แต่โอกาสเสี่ยงของชายไทยมีสูงจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจจะตาย และไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลยก็ยังถูกลูกหลงตายได้ เพราะค่านิยมผิดๆ เรื่อง "ลูกผู้ชาย" ที่เอาไปเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาที่ตนสังกัดอยู่ ก่อให้เกิดเป็นกระแสรักสถาบันการศึกษา จนสามารถพลีชีพให้ได้ จนเข้าประหัตประหาร ห้ำหั่นกันดั่งว่าอยู่ในสนามรบ โดยมีเสื้อสถาบันเป็นเครื่องแบบแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย (อยากถามว่าผู้ชนะ จะได้อะไรหรือ ?)

   
.


นี่ยังไม่นับรวมตีกันรายวันเลยนะ ประเภทเหมารถเมล์ไปตีกับเขา แต่เหมาได้ถูกคันอย่างมาก เพราะรถมินิบัสคันนั้นมีการดัดแปลงที่เก็บอาวุธมีด ดาบ ปืนให้เสร็จเรียบร้อย...เตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อไปล้างแค้น อยากถามนักว่า "แค้นอะไรกันนักหนาเหรอ" บ้านโน้นมาเอาป้ายบ้านนี้ไป บ้านนี้ตีบ้านโน้นเจ็บ อีกบ้านมาซ้ำกลายเป็นศึก 3 บ้าน 4 บ้าน บานปลายกันไปใหญ่ ทั้งที่เวลาของชีวิตที่ใช้ไปในสถาบันนั้นๆ อย่างมากไม่เกิน 6 ปี (ซ้ำชั้นเต็มที่แล้วนะเนี่ย) แทนที่จะทำตัวดีๆ ให้เป็นศรีสถาบัน แล้วก้าวออกมาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตที่เหลืออีก 30 ปี เป็นอย่างน้อย ดูแลพ่อ-แม่ สร้างครอบครัว ทำหน้าที่พลเมืองของประเทศชาติ ไม่รู้ว่าความรักในสถาบัน อย่างที่คิดที่ทำกันอยู่ จะอยู่ในรูปแบบไหน ตอนอายุ 60 จะยังใส่เสื้อช็อปเดินถือไม้เท้าออกกำลังกาย ไปเจอคู่อริถือไม้เท้าเดินมา ยื่นไม้เท้าขัดขากันหรือเปล่า หรือจะรวมตัวเป็นก๊วนรถเข็นสำหรับคนชราเข้าตีกันอีกไหม นี่หมายถึงกรณีที่มีชีวิตรอดไปถึงวันนั้น โดยไม่ตาย หรือพิการเสียก่อนนะ ถ้าไม่ใช่ละก็ แสดงว่าสิ่งที่ยึดถืออยู่นั้น ไม่ใช่สรณะ เป็นความจริงลวงที่จะคลายความ "จริง" ลงไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นเลิกเถอะพฤติกรรมความรักบ้าคลั่งแบบไม่มีเหตุผล และอธิบายไม่ได้แบบนี้..

   



และสำหรับผู้ที่ผ่านเลยวัยนั้นมาแล้ว (อย่างปลอดภัย) กลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยทำงาน ลองย้อนดูพฤติกรรมเสี่ยงต่อการ "ตายไว" ของคุณ แล้วลด ละ เสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อต่ออายุขัย อย่างน้อยก็ของคุณคนหนึ่งแล้วละ หลายๆ คนทำ อายุเฉลี่ยของเพศชายก็จะได้เพิ่มมากขึ้นไงล่ะ

แหม !!! ถึงจะบ่นว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ผู้หญิงน่ะ ก็ไม่ได้อยากให้ผู้ชายตายก่อนหรอกนะ อยู่เป็นเพื่อนกันดีกว่า แล้วผู้หญิงก็ไม่ได้มาจากดาวศุกร์ เป็นเทพีวีนัสหรืออะไร รวมทั้งผู้ชายก็ไม่ได้มาจากดาวอังคารจะต้องมากลายเป็นเทพแห่งการรบหรอกนะ เราทั้งผองเกิดจากโลกใบนี้แหละ รักกันไว้ ดูแลกันไว้ ให้อยู่ในโลกอย่างมีสุข และตายไปอย่างคนที่เข้าใจดีกว่านะ...ขอบอก..

 
ขอบคุณบทความจาก นิตยสารใกล้หมอ
ที่มาhttp://www.elib-online.com/
ภาพจาก GooGle
31 พ.ค. 53 เวลา 20:33 2,752
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...