สาวจบป.ตรี ล้มละลาย 3 ครั้ง ขายของสำเพ็งปลดหนี้ภายใน 9 เดือน

ชีวิตนักธุรกิจไม่ได้พอเจอความสำเร็จมาได้ง่ายๆ อาจต้องล้มทั้งยืนมาแล้ว เฉกเช่นคุณกิ๊บ สาวจบป.ตรี มุ่งทำธุรกิจล้มเหลวมาแล้ว 3 ครั้ง จนเป็นหนี้กว่า 10 ล้านบาท แต่สุดท้ายเหลือโต๊ะเพียงตัวเดียวไปนั่งขายของที่สำเพ็ง กระทั่งจับหลักตลาดได้ พร้อมปลดหนี้ได้ภายในเวลา 9 เดือนเท่านั้น อีกทั้งมี order ต่างประเทศต่อคิวยาว

       คุณธัญญ์นภัส ธนอัครเศรษฐ์ (คุณกิ๊บ) จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อปี พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นคนที่ไม่คิดจะทำงานประจำกินเดือนแม้แต่น้อย ดังนั้นคุณกิ๊บ จึงคิดที่จะมาทำธุรกิจส่วนตัวเอง หาประสบการณ์ด้วยการไปเป็นเซลล์อยู่ 1 ปี จากนั้นจึงหันมาทำธุรกิจของตนเอง ซึ่งในธุรกิจแรกคือ “รีไซเคิลเม็ดพลาสติกส่งออก” โดยเปิดเป็นบริษัทส่งออกเม็ดพลาสติก อีกทั้งในตอนแรกคิดว่า ที่บ้านทำพวกพลาสติกอยู่บ้างน่าจะพอหาความรู้ได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ จนทำให้ต้องหาความรู้ใหม่ทั้งหมด เมื่อทำธุรกิจนี้มา 7 เดือน ถึงเริ่มมีออร์เดอร์แรกเข้ามา ซึ่งที่น่าแปลกใจคือ ลูกค้าเล่นสั่งมา 80 ตัน ( 80,000 กิโล) คิดเป็นเงินราวเกือบ 3 ล้าน (ถ้าขายได้จะได้กำไร 2 แสนบาท) แล้วจะเอาเงินไหนมาซื้อของเข้า ทั้งที่มี L/C(letter of credit )มาแล้วด้วย ฉะนั้นคุณกิ๊บจึงไปคุยกับเฮียเจ้าของโรงงานเม็ดพลาสติกท่านหนึ่งว่า จะขอเอาของไปก่อน แล้วพอได้เงินมาก็จะนำมาใช้ให้ เพราะได้ L/C มาแล้ว ซึ่งเฮียเขาก็ให้มา จึงทำให้เริ่มมีออร์เดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไปได้สวย แต่กลับล่มเพราะค่าเงินบาทแข็ง

       หลังจากมีออร์เดอร์ที่ 5 เข้ามาก็เจอปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็งอย่างจัง จากที่เคยมีกำไร 1 – 3 บาท /กิโล กลับขาดทุน เลยไปขอเฮียเจ้าของโรงงานว่า ให้ช่วยลดราคาให้หน่อย  ซึ่งเฮียเขาก็ลงราคาให้ แต่เขาดันลดคุณภาพด้วยลงไปด้วย จนทำให้โดนลูกค้าต่างประเทศปรับเงินเกือบล้าน แต่ยังดีที่เฮียเจ้าของโรงงานช่วยออกกันคนละครึ่ง ส่วนในรอบต่อๆมา ของที่สั่งก็ยังไม่ตรงสเปค เป็นเหตุให้ลูกค้าไม่สั่งของอีกเลยจนต้องเลิกกิจการไป 

ด้วยความตั้งใจที่มีคุณกิ๊บจึงเอาบ้านเข้าBank ลงทุนเปิดร้านเสื้อผ้าที่สยาม

        การเปิดร้านขายเสื้อผ้าของคุณกิ๊บนั้นไม่มีเงินลงทุนเลย เพราะหมดไปกับธุรกิจแรก เลยต้องไปขอบ้านของคุณแม่แฟน มากู้กับธนาคาร ซึ่งคุณแม่ก็ยินดี เพราะอยากให้ลูกประสบความสำเร็จ มีธุรกิจเป็นของตัวเองให้ได้ จึงได้กู้เงินมาจำนวน 3.5 ล้านบาท แต่การเปิดร้านเสื้อผ้าที่สยามนั้นไม่ง่ายเลย เพราะทุกปัญหาพุ่งตรงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งเรื่องค่าเช่าที่สูงมาก โดนโกงจากช่างตัดเย็บหนีหายไม่ส่งงาน พอได้ช่างมาใหม่ก็ตัดเย็บไม่ตรงตามสเป็ค ซึ่งใช้เวลายื้อธุรกิจร้านเสื้อผ้านี้นานกว่า 1 ปี และท้ายที่สุดก็ปิดตัวลง และมีหนี้สินพ่วงอีก 4 ล้านบาท

         เมื่อผ่านอุปสรรคมาแล้วสองคราว คุณกิ๊บ จึงตัดสินใจไปบวชชีพารหมอยู่ 7 วัน เพื่อทำให้จิตใจสงบ แล้วตั้งสตินึกถึง ป๊า กะ ม้า ที่ยังคงทำงานอยู่ทุกวัน ซึ่งถ้าเรายอมแพ้วันนี้ แล้วบ้านแม่แฟนก็ต้องโดนยึดบ้านแน่ ฉะนั้นจึงฮึดสู้อีกครั้ง ด้วยการเปิดโรงงานรีไซเคลพลาสติกเองเลย รวมทั้งไปยืมเงินจากญาติ เพื่อนำมาลงทุนซื้อเครื่องจักรต่างๆ เช่น เครื่องล้างพลาสติก , เครื่องหลอมพลาสติก , เครื่องอัดเม็ดพลาสติก เป็นต้น ทั้งนี้ในความโชคดีคุณกิ๊บยังมีฐานลูกค้าเก่าในต่างประเทศที่ยังคงสั่งสินค้าอยู่ แต่แล้วพอผ่านมา 5 เดือน ก็เจอคู่แข่งจากจีน เข้ามากว้านซื้อพลาสติกเก่าไปหมด โดยการให้ราคาที่รับซื้อสูงกว่า จึงทำให้ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีสินค้าจะส่งออก เป็นอันต้องเลิกกิจการไปเป็นครั้งที่ 3 พร้อมทั้งแบกภาระหนี้สินกว่า 8 ล้านบาท ถ้าคิดรวมกับดอกเบี้ยด้วยก็เกือบ 10 ล้านบาท

ธุรกิจล้มละลายมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่คิดสิ้นหวัง

        ทั้งนี้คุณป้าของคุณกิ๊บชวนให้มาขายของที่ตลาดสำเพ็ง โดยจะแบ่งพื้นที่หน้าร้าน ให้ตั้งโต๊ะขายของ และการขายของครั้งนี้ใช้เพียงโต๊ะตัวเล็กๆ กับ สินค้าประเภทเครื่องสำอาง อีกทั้งธุรกิจรายเล็กแบบนี้ จึงต่อสู้รายใหญ่ได้ยาก ฉะนั้นจึงจับกระแสตลาดในช่วงนั้น ที่หลายคนมักชอบกัน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น “เม็ดบีท” ลูกปัดพลาสติกสี ที่สามารถนำมาร้อยเป็นเครื่องประดับต่างๆได้ ทำให้หันมาลองขายเม็ดบีทดูบ้าง กระทั่งมีผลการตอบรับที่ดี รวมทั้งใช้เวลา 5 เดือน จากการขายแบบโต๊ะตัวเดียว ก็ไปเช่าเป็นร้านขายแทน เมื่อจับหลักตลาดได้แล้ว คุณกิ๊บ ก็เริ่มหาสินค้าใหม่ๆ ที่โดนใจลูกค้า อีกทั้งสินค้าที่ขายดีมากที่สุดตอนนั้นคือ สควิชี่ (Squishy) หรือฟองน้ำที่ทำเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น ขนมปัง,ขนมเค้ก,ตุ๊กตา ซึ่งนับว่ากลุ่มเด็กๆชอบเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ร้านของคุณกิ๊บได้สั่งนำสินค้าเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น และ ฮ่องกง ที่อาจมีราคาต้นทุนสูงกว่า แต่ก็จะได้คุณภาพที่ดีกว่า แถมยังมีแบบใหม่ๆ  ให้เลือกเยอะอีกด้วย

เคล็ดลับการขาย คือ “ได้ใจลูกค้า”

        หลักการขายของซึ่งคุณกิ๊บเน้นไปที่สายสัมพันธ์ที่มีต่อลูกค้า ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ไปถึง 50–60 ปี ถ้าหากลูกค้าที่เป็นเด็กๆ มักจะขี้อ้อน อยากได้แบบโน้นอยากได้นี้ ก็เลยตามใจลูกค้า สรรหาสิ่งที่ต้องการมาให้ กระทั่งกลายเป็นนางฟ้าของเด็กๆทันที นอกจากนี้ส่วนลูกค้าคนไทยที่ต้องการซื้อสินค้าไปขาย คุณกิ๊บก็จะคอยแนะนำ เปรียบเสมือนเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจด้วย

ปลดหนี้ 10 ล้าน ภายใน 9 เดือน

        จากการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมวางตัวเป็น “เพื่อน และ พี่” เป็นมากกว่าคนซื้อ-ขายทั่วไป ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงยอดขายก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นถ้าวันไหนที่ขายดีมาก ก็จะทำยอดขายได้ถึง 200,000 บาท/วัน อีกทั้งยังมี order จากประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว , เวียดนาม , มาเป็นจำนวนมาก ทำให้คุณกิ๊บปลดหนี้ 10 ล้านบาท ได้ภายในเวลา 9 เดือน ทั้งนี้สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การทำตลาด,การประชาสัมพันธ์ร้านของตนเอง โดยใช้ชื่อร้านว่า “ชวา” ส่วนมากจะมีการบอกแบบปากต่อปากมากกว่า โดยเฉพาะในหมู่เด็กๆ ซึ่งบ้างคนก็ทำรีวิวสินค้าให้บนยูทูปบ้าง ซื้อสินค้าไปแล้ว ก็โพสต์ให้ว่าซื้อมาจากไหนดีอย่างไร ถึงขั้นทำวิดีโอแนะนำการเดินทางไปร้านชวา โพสต์บน youtube เลยทีเดียว จนกลายเป็นว่า การประชาสัมพันธ์นั้นคุณกิ๊บไม่ต้องลงมือทำเลย ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ชีวิตคุณกิ๊บ ได้ต่อสู้ปัญหาต่าง ๆ มาจนถึงจุดแห่งความสำเร็จได้ ด้วยก้าวที่มั่นคง และมีความหวังนั่นเอง

 

 

 
ที่มา : smart sme
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...