ชายคนนี้ช่วยคนหลายพันจากพวก “นาซี”…ด้วยการเขียนวีซ่าด้วยมือ!

คุณอาจเคยได้ยินเรื่องราวของ Oskar Schindler ที่เป็นคนต้นเรื่องของภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง “Schindler’s List,” ที่เขาสามารถช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถึง 1,200 คน แต่น้อยคนนักคงได้ยินเรื่องของฮีโร่อีกคนที่เขาสามารถช่วยชาวจีนจากการถูกคร่าชีวิตได้ถึง 6,000 คนเลยทีเดียว

ชายคนนี้ชื่อ “Chiune Sugihara”

N 1
Wikimedia Commons

ในตอนนั้น เป็นปี 1939 สงครามโลกครั้งที่สองกำลังเริ่มต้นขึ้น เยอรมนี บุกยึดเช็กโกสโลวาเกีย และบุกโปแลนด์ ผู้อพยพชาวยิวจากโปแลนด์ แผ่กระสานซ่านเซ็น ออกไปยังประเทศต่างๆ รอบด้าน ในเวลานั้น 1/3 ของประชาชนในเมืองใหญ่ของ Lithuania เป็นชาวยิว

ซึ่งในปี 1940 นั้น นาย Sugihara เป็นรองกงสุลญี่ปุ่นประจำประเทศ Lithuania คนหลายร้อยคน เดินทางมาที่ออฟฟิศของเขา กราบกราน อ้อนวอนขอวีซ่า เพื่อเป็นใบเบิกทางให้พวกเขา หนีตาย หนีการทรมานจาก นาซี หนีประเทศที่กำลังจะระเบิดเป็นสงครามไปพำนักยังประเทศญี่ปุ่น

และเขาก็รู้วิธีที่จะช่วยคนพวกนี้ได้อย่างไร ก็วีซ่านั่นเอง

เขารู้ว่ากฏระเบียบในการออกวีซ่านั้นเข้มงวดมาก และเจ้านายของเขาที่เดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว สั่งกำชับว่าให้เขาปฏบัติตามกฏระเบียบการออกวีซ่าอย่างเคร่งครัด ห้ามผ่อนปรนเด็ดขาด แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่า หากทำตามกฏจริงๆ คงไม่มีใครรอดตายไปที่ญี่ปุ่นได้แน่ๆ เพราะคงไม่มีใครวีซ่าผ่านในเวลาเช่นนี้

หนทางในการช่วยคนของเขายากขึ้นไปอีก เพราะสถานทูตญี่ปุ่นถูกสั่งปิด แต่เขาก็พยายามขออนุญาตไปทางกระทรวงการต่างประเทศที่ญี่ปุ่น เพื่อขอแค่ได้ออกวีซ่าให้คนเหล่านี้ ซึ่งเขาใช้ความพยายามในการขออนุญาตถึง 3 ครั้ง ก็ไม่เป็นผล ทางกระทรวงสั่งห้าม

แต่หลังจากที่เขาได้ปรึกษากับครอบครัวแล้ว เขารู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องทำ และเพิกเฉยไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และกฏที่ออกไว้ ตัดสินใจออกวีซ่าให้คนที่ร้องขอความช่วยเหลือเหล่านั้น และนี่คือคำพูดของเขา

“คนในโตเกียวไม่สามัคคีกัน มันรู้สึกเหนื่อยที่จะคุยกับพวกเขา ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมทำจะมีคนไม่เห็นด้วยในอนาคต แต่ผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ มันไม่มีความผิดเลย ในการช่วยคน ช่วยชีวิตคน” ตัดตอนจากหนังสือ “Hitler, Stalin and the Destruction of Poland: Explaining History” เขียนโดย Nick Shepley

ดังนั้น สิ่งที่เขาทำคือ การออกวีซ่าด้วยการเขียนมัน “ด้วยมือ”

N 2
Wikimedia Commons

เล่มแล้วเล่มเล่า ที่เขาลงมือเขียนมันด้วยมือ จากร้อยเล่ม เป็นพันเล่ม จากพันเล่ม เป็นหลายพันเล่ม ที่เขาช่วยคนเหล่านี้ให้เดินทางหนีตายไปยังประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าการเดินทางมันจะไม่ง่ายอย่างนั้น คนพวกนั้นต้องเดินทาง ผ่านไปทาง Curaçao และ Dutch Guiana ซึ่งตอนนี้คือ Suriname และต้องผ่านไปทาง Soviet Union กว่าจะถึงประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนสิงหาคม ที่เขานั่งเขียนวีซ่า จนกว่าสถานกงสุลจะถูกปิดในเดือนกันยายนอย่างเป็นทางการ เขาไม่สนใจกฏระเบียบใดๆ ทั้งสิ้น ตราบเท่าที่เขาสามารถช่วยชาวยิวเหล่านั้นได้

45 ปีให้หลัง มีคนถามเขาว่า ทำไมเขาถึงตัดสินใจทำเช่นนั้น เขาให้เหตุผลมา 2 ข้อ ข้อแรก “พวกเขาเป็นมนุษย์ พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ” และข้อสอง “ผมดีใจมาก ที่มองย้อนไปตอนนั้น ผมมีความแข็งแกร่งมากพอ ที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมทำลงไป”

อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจไม่ทำงานข้องเกี่ยวกับรัฐบาล หลังสงครามสิ้นสุดลง

เขาตัดสินใจทำงานล่าม งานแปล เป็นเซลส์แมนขายหลอดไฟตามบ้าน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และจบลงด้วยการบริหารบริษัทส่งออกในช่วง 20 ปีสุดท้ายของชีวิตของเขา

ชายคนนี้คือคนที่ทำงานด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ หากคุณต้องการชมที่ระลึกเรื่องราวเกี่ยวกับเขา ที่ Little Tokyo ที่ L.A. มีรูปปั้นของเขานั่งอยู่บนม้านั่ง ถือวีซ่าอยู่

N 3
Joseph Brent

ซึ่งมีคำพูดของ Talmud ที่ถูกสลักไว้เคียงข้างรูปปั้นของเขา มันเขียนว่า

“He who saves one life, saves the entire world.”

“เขาผู้ช่วยหนึ่งชีวิต ได้ช่วยทั้งโลกไว้แล้ว”

และถึงแม้ยังไม่มีใครนำเรื่องราวของเขามาทำเป็นภาพยนตร์ แต่เรื่องราวของเขามันน่าทึ่ง และน่าเคารพจริงๆ…

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...