9 ร่างไร้วิญญาณคนดังระดับโลกกับเรื่องราวสุดแปลก!

เวลาคนเราเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะเหลือแต่เพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น ซึ่งแต่ละศาสนา วัฒนธรรมก็จะแตกต่างกันไป เช่น ศาสนาพุทธก็จะนำร่างไปเผา, ฝั่งยุโรปก็จะนำร่างไปฝัง เป็นต้น แต่ที่ทีนเอ็มไทยนำมาให้เพื่อนๆ อ่านกันในวันนี้เกี่ยวกับ 9 ร่างไร้วิญญาณคนดังระดับโลกกับเรื่องราวสุดแปลก! ซึ่งบางคนร่างก็ไม่ได้ถูกนำไปทำพิธี บางคนชิ้นส่วนก็ถูกแยกออกไปอยู่ที่อื่น ถ้าเพื่อนๆ ได้อ่านจะต้องอึ้งแน่ๆ >,<

9 ร่างไร้วิญญาณคนดังระดับโลกกับเรื่องราวสุดแปลก!

1. ศพของ Eva Perón ถูกเก็บอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวของสามีเธอ

Eva (Evita) Perón เป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงจากสถานะ First Lady ของประเทศอาเจนติน่า เธอได้ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ยากไร้ดีขึ้น และเธอต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เธอเคยโดนขอร้องจากสามีของเธอ Juan Perón ให้เป็นรองประธานาธิบดีแต่ว่าเธอก็ปฏิเสธไปเนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพ และหลังจาก Perón หมดสมัยลงในปี 1952 Eva ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งด้วยอายุ 33 ปี

หลังจากเสียชีวิต ศพของเธอก็ถูกตกแต่งเพื่อป้องกันการเน่าทันที และจะถูกฝังในอีก20ปีให้หลัง หลังการสร้างสุสาน (ที่ว่ากันว่าใหญ่กว่าเทพีเสรีภาพซะอีก) แต่ระบอบการปกครองของ Juan Perón ก็ถูกล้มล้างซะก่อน จนตัวเขาต้องหนีไปสเปน

ศพของเธอที่ดูราวกับเป็นตุ๊กตาขี้ผึ้ง ได้อยู่กับเหล่าทหารซึ่งกลัวว่าถ้าหากฝังเธออย่างเป็นทางการ ผู้คนจะยกย่องให้เธอเป็นผู้เสียสละและเธอจะกลายเป็นต้นตอของการลุกฮือของคนที่รักเธอ ศพของเธอก็เลยถูกเก็บไว้ในลังไม้และถูกส่งต่อกันไปตามที่ต่างๆในบัวโนสไอเรส เมื่อเห็นว่าศพของ Eva นั้นอันตรายเกินไปที่จะอยู่ในอาเจนติน่าต่อไป เธอถูกส่งไปที่ Bonn ประเทศเยอรมัน และต่อมาก็ถูกส่งไปที่อิตาลี่อย่างลับๆ เพื่อฝังเธอในนาม Maria Maggi

ในปี 1971 ผู้นำทางการทหารคนใหม่ของอาเจนติน่า Alejandro Lanusse ได้ทำข้อตกลงกับอดีตประธานาธิบดี Juan Perón ว่า Perón จะให้การสนับสนุนระบอบการปกครองใหม่นี้ ถ้าหากว่าทางการทหารคืนศพ Eva ให้เขา Perón และภรรยาใหม่ชื่อ Isabel จึงได้นำศพของ Eva มาไว้ที่แมนชั่นของพวกเขา โดยที่มักจะวางโลงศพของเธอไว้บนโต๊ะอาหาร Isabel มักจะหวีผมให้กับ Eva เป็นประจำตามคำขอร้องของสามีเธอ และยังต้องนอนข้างๆโลงศพ Eva ทุกๆวันเพื่อที่จะซึมซับความฉลาดทางการเมืองของ Eva มาอีกด้วย

Juan Perón ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งในปี 1973 แต่ว่า Eva ไม่ได้ถูกนำตัวกลับมาด้วยจนอีก 1 ปีหลังจากนั้น และหลังจาก Juan เสียชีวิต ตำแหน่งประธานาธิบดีก็ถูกสืบทอดโดย Isabel ส่วน Eva Perón ได้หลับอย่างสงบในสุสานที่บัวโนสไอเรส ศพของเธอถูกเก็บไว้ในอุโมงค์ที่ว่ากันว่าสามารถทนได้แม้แต่แรงระเบิดนิวเคลียร์

2. ศพของ Lord Horatio Nelson ถูกเก็บรักษาไว้ในบรั่นดี

การตายของพลเรือโท Horatio Nelson หนึ่งในวีรบุรุษของกองทัพอังกฤษได้สร้างบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับการรักษาเนื้อเยื่อของศพ

Nelson ถูกยิงจนเสียชีวิตเมื่อ 21 ต.ค. 1805 ในขณะที่เขากำลังนำกองเรืออังกฤษสู่ชัยชนะจากสงคราม Napoleonic ที่ Trafalgar ลูกเรือของเขาต้องการให้ผู้บังคับบัญชาของเขาได้มีงานศพอย่างสมเกียรติ แพทย์ศัลยกรรมบนเรือ William Beatty จึงได้คิดที่จะทำการรักษาศพของเขาไว้จนกลับมาถึงฝั่งแทนที่จะทำงานศพกลางทะเล

Nelson เตรียมใจที่จะตายอยู่ตลอดอยู่แล้ว เขาเก็บโลงศพเพื่อตัวเองไว้หลังโต๊ะของเขาบนเรือ HMS Victory โลกศพของเขาสร้างจากซากเรือฝรั่งเศสที่เขาได้รับชัยชนะมาจากการต่อสู้ที่ Nile เพื่อที่จะรักษาสภาพศพของ Nelson ไว้ ลูกเรือองเขาได้เอาศพเขาลงไปดองในเหล้าบรั่นดีฝรั่งเศส และเมื่อล่องเรือถึง Gibraltar ก็ได้ในโลงศพของเขาลงไปแช่ในถังบรั่นดีอีกทีหนึ่ง

เมื่อร่างของเขามาถึง London มีข่าวลือว่าถังด้านนอกถูกเปิดออกมาแต่ไม่พบบรั่นดีเหลืออยู่เลย ร่างที่ถูกดองไว้ก็ถูกย้ายออกไป และเมื่อลองดูให้ดีๆแล้วจะพบว่าเหล่ากะลาสีเรือได้เจาะรูใต้ลังนั้นเพื่อดื่มบรั่นดีจนหมด จึงเป็นที่มาของการเรียกเหล้าบรั่นดีว่า “เลือดของ Nelson” (บางตำนานเล่าว่าในลังนั้นนอกจากจะมีศพของ Nelson แล้วยังมีการเอาศพมาสับเปลี่ยนอีกหลายครั้ง) ซึ่งจริงๆแล้วบันทึกอย่างเป็นทางการที่ถูกต้องได้กล่าวไว้แค่ว่าศพของเขาได้ถูกแช่ไว้ใน “เหล้าชั้นดี” และไม่มีรายละเอียดใดๆทั้งสิ้นเลย

สุดท้ายแล้ว Lord Nelson ก็ได้รับงานศพอย่างสมเกียรติ ศพของเขาถูกเก็บไว้ในสุสานที่ใต้โดมของโบสถ์ St. Paul’s Cathedral

3. นิ้วที่หายไปของ Galileo กลับมาอยู่ในโหลอีกครั้งเมื่อ 300 ปี ให้หลัง

ในปี 2009 นิ้วมือของ Galileo 2 นิ้วที่หายไปนับศตวรรษ มันถูกซื้อที่งานประมูลจากคนที่สงสัยว่ามันคืออะไร และนำมันมาให้พิพิธภัณฑ์แห่งประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใน Florence ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Paolo Galluzzi กล่าวไว้

นิ้ว 3 นิ้วถูกตัดไปจากมือของ Galileo หลังจากที่ศพของเขาถูกเคลื่อนย้ายจากอนุสรชั่วคราวไปยังหลุมศพที่แท้จริงในปี 1737 รวมไปถึงฟันซี่สุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนกรามก็โดนขโมยไปด้วย นิ้ว 2 นิ้วและฟันซี่นั้นได้กลับมาถูกเก็บอยู่ในโหลแก้วซึ่งก็หายไปอีกครั้งในช่วงปี 1905 ไม่มีร่องรอยใดๆของมันทั้งสิ้นมาตลอด 100 ปี จนมีคนไปซื้อมันได้ที่การประมูลและนำมาที่พิพิธภัณฑ์ในปี 2009

โหลแก้วนั้นตรงตามคำอธิบายของโหลแก้วใบเก่าทุกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ว่าในขณะที่มันถูกนำมาประมูลนั้น ใบกระดาษที่บ่งบอกว่าของที่อยู่ในโหลนี่คืออะไรมันได้หายไปซะก่อน ทำให้เหล่าผู้ประมูลและคนประมูลไม่รู้ถึงคุณค่าของโหลนี้ว่ามหาศาลมากแค่ไหน

ทางพิพิธภัณฑ์ได้มีนิ้วมือของนิ้วที่ 3 ของ Galileo มาตั้งแต่ปี 1927 แล้ว ทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่อวัยวะที่หายไปทั้งหมดกลับมาอยู่รวมกันครบ คนที่ตัดนิ้วของ Galileo ออกไปนั้น เป็นคนที่คิดว่า Galileo นั้นเป็นเหมือนผู้มาโปรดโลก และนิ้วที่โดนตัดไปนั้นก็เป็นนิ้วที่เขาใช้ในการจับปากกา

4. ปริศนากะโหลก Mozart

ในปี 1902 ที่ Mozarteum ใน Salzburg , Austria ได้กลายมาเป็นผู้ถือครองกะโหลกศีรษะของ Mozart กะโหลกนั้นมีแต่ส่วนบน แต่ว่าส่วนกรามล่างนั้นหายไป กะโหลกนี้ตรงกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ในปี 1801 สัปเหร่อชาวเวียนนา Joseph Rothmayer ได้ขุดมันขึ้นมาจากหลุมที่ Mozart ถูกฝังไว้ในปี 1791 ด้วยอายุ 35

ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องเล่ากันว่า Mozart ถูกฝังในสุสานคนจนแบบยาจก แต่จริงๆแล้ว Mozart ถูกฝังในหลุมกับคนอีกเพียง 4 – 5 คน ซึ่งนับว่าเป็นหลุมศพของชนชั้นกลางในสมัยนั้นแล้ว ตามตำนานเล่าว่าสัปเหร่อนั้นได้แปะเส้นลวดไว้กับกระโหลกของ Mozart เพื่อที่ตอนเขากลับมาขโมย จะได้หยิบถูกคน (ซึ่งต้องรอเป็น 10 ปี ทำให้บางคนคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง)

จากนั้น กะโหลกของ Mozart ก็ถูกเปลี่ยนมือไปมากมาย ตั้งแต่อยู่ในมือของผู้ดูแลโบสถ์, กลายไปเป็นคอลเลคชั่นกระโหลกของ Dr.Hyrtl (ซึ่งภายหลังจากนั้นกะโหลกเหล่านั้นจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์กะโหลก Mutter ยกเว้นกะโหลก Mozart) หลังจากนั้นก็ได้มาอยู่ในการดูแลของ Mozarteum ในปี 1902

ในปี 2006 หลังจากได้กะโหลกมาแล้ว 104 ปี ทาง Mozarteum ก็ได้วางแผนที่จะพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดกันไปว่ากะโหลกนี้เป็นของ Mozart จริงไหม โดยการตรวจ DNA ของกระโหลกกับ DNA จากกระดูกต้นขาจากศพของญาติๆทางฝั่งแม่ของ Mozart น่าเสียดายที่ผลการทดสอบ DNA ทำให้ต้องผิดหวัง

นอกจากผลการทดสอบจะบ่งบอกว่ากะโหลกนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องทาง DNA กับญาติๆของ Mozart แล้ว ผลการทดสอย DNA จากกระดูกต้นขาของญาติๆทั้งหลายก็ดันไม่ตรงกันเลยอีกด้วย กลายเป็นที่คลุมเครือเป็นอย่างยิ่งว่ามันอะไรยังไงกันแน่

อย่างไรก็ตาม กะโหลกใบนี้ได้มีรอยถูกทุบอย่างแรง ซึ่งจากการที่ Mozart บ่นว่าเขาปวดหัวอย่างหนักในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุการตายขณะอายุยังน้อยของเขา แต่มันก็เป็นสิ่งที่สรุปไม่ได้และเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานอยู่ดี จึงทำให้ปริศนาของกะโหลกของ Mozart นี้ ก็ยังคลุมเครืออยู่จนถึงปัจจุบัน

5. ร่างของ Voltaire ถูกปลอมแปลงเพื่อที่เขาจะได้รับงานศพอย่างสมเกียรติ

Voltaire “ปัญญาที่เปล่งประกาย” แห่งสาธารณรัฐ มีข้อพิพาทมากมายในชีวิตของเขาจนเขากลัวว่าพอเขาตายศพของเขาจะถูกนำไปทิ้งถังขยะข้างทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยมากสำหรับผู้ที่ริเริ่มจะวิพากษ์วิจารณ์คริสตจักรในสมัยศตวรรษที่ 18

เมื่อนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนนี้ล้มป่วย เขาได้คิดแผนตบตาคนขึ้น โดยที่เมื่อเขาเสียชีวิตลง ให้คนแต่งศพของเขาด้วยชุดหรูๆราวกับยังมีชีวิตอยู่ และให้คนขับรถขับพาเขาไปส่งที่คฤหาสน์ของครอบครัวเขาที่ชายแดนสวิส ห่างไกลจากอันตรายทั้งหลาย แต่ว่าแผนเขาได้ถูกปรับเปลี่ยนนิดหน่อยด้วยหลานของเขาเอง โดยที่หลานเขาให้คนชันสูตศพผ่าเอาหัวใจและสมองเขาออกมา และนำศพของเขานั่งรถไปส่งที่สุสานฝรั่งเศสแทน จนอีกหลายปีหลังจากนั้นที่ศพของเขาจะได้กลับมาที่ Paris เพื่อได้รับหลุมศพที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นใน Pantheon

หลายๆคนเชื่อว่าศพของเขายังอยู่ในนั้น แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่เชื่อว่าผู้ภักดีต่อคริสตจักรได้บุกรุกเข้าไปในสุสานแล้วเอากระดูกของเขาไปทิ้งขยะให้หมาแทะเล่น และเพื่อที่จะหยุดเรื่องราวบ้าๆบอๆเหล่านี้ ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจที่จะเปิดหลุมศพดูในปี 1897 และพบว่าศพของเขายังอยู่ดีไร้รอยขีดข่วน

6. ร่างของแฝดสยามที่ถูกนำมาหล่อปูนและตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์

แฝดสยามที่โด่งดัง อิน-จัน บังเกอร์ ตัวติดกันด้วยกระดูกอ่อนภายใต้หน้าอกของพวกเขา ซึ่งการแพทย์ปัจจุบันคงจะสามารถผ่าแยกพวกเขาออกมาได้อย่างง่ายๆ แต่ว่าการแพทย์ในศตวรรษที 19 นั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย

หลังจากท่องเที่ยวโชว์ตัวไปทั่วโลกแล้ว อินและจันก็ได้มาใช้ชีวิตปกติเป็นพลเมือง America อยู่ที่ North Carolina พวกเขาซื้อทาสและแต่งงานกับสตรี 2 พี่น้อง ในปี 1840 จันได้ให้กำเนิดลูกๆถึง 10 คน และอินได้ให้กำเนิดลูกๆ 11 คน

ในเดือน มกราคม 1874 จันเสียชีวิตลงขณะที่เขาหลับด้วยโรคปอดบวม 3 ชม.หลังจากนั้น อินก็เสียชีวิตตามไป ตอนแรกหมอวินิจฉัยว่าอินเสียชีวิตเพราะความเสียหายทางจิตใจ แต่หลังจากการวิเคราะห์มากกว่านั้นจึงรู้ว่า อินและจัน ได้ใช้เส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอยร่วมกัน ทำให้อินเสียชีวิตด้วยอาการเสียเลือด ตอนอินกำลังจะตายเขาได้ขอร้องให้คนช่วยดึงน้องชายฝาแฝดของเขามาใกล้ๆเขาให้มากกว่าเดิมหน่อย

หลังจากที่ทั้ง 2 คนถูกคอนเฟิร์มว่าเสียชีวิตแล้ว ร่างของพวกเขาถูกส่งไปที่วิทยาลัยแพทย์ Philadelphia เพื่อผาตัด, ศึกษา, ถ่ายรูป และสุดท้ายการชันสูตรศพได้เผยให้รู้ว่าทั้งสองคนใช้ตับร่วมกัน หลังจากการชันสูตรแล้วร่างของพวกเขาก็ถูกนำไปหล่อปูนให้หันหน้าเข้าหากัน

พี่น้องคู่นี้ปัจจุบันถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Mutter Museum ใน Philadelphia ในฐานะแบบอย่างทางการแพทย์ พวกเขาเป็นเพียงแค่โครงร่างของความทรงจำในอดีตของฝาแฝดซึ่งเป็นตำนาน อิน และ จัน แฝดสยามคนแรกของโลก

7. หัวใจของ Anne Boleyn ถูกเก็บไว้กับสามีของเธอ ที่เป็นคนสั่งฆ่าเธอ

Henry ที่ 8 ได้ปลดประเทศอังกฤษออกจากลัทธิคาทอลิก เพื่อที่จะได้หย่ากับภรรยาคนแรกและมาแต่งงานกับ Anne Boleyn ที่ชาญฉลาด แต่ Henry ที่ต้องการบุตรชายอย่างมาก ได้คิดว่าการแต่งงานของเขาถูกสาปเพราะว่า Anne ให้ได้แต่ลูกผู้หญิง และพระราชาในขณะนั้นยังกล่าวหาเธอว่าเป็นเพราะเธอนั้นคบชู้กับพวกคนธรรมดาสามัญ และแม้กระทั่งกับน้องชายของเธอเอง

Anne Boleyn ถูกจับและถูกตัดหัวบนหอคอยลอนดอนในปี 1536 ตำนานเล่าว่ากษัตริย์ Henry ได้สั่งให้คนควักหัวใจเธอออกมา และ Henry ก็เก็บหัวใจเธอเอาไว้ในกล่องรูปหัวใจในโบสถ์ที่ Suffolk หัวใจนั้นถูกค้นพบในปี 1836 และได้ถูกฝังใหม่อยู่ภายใต้เครื่องดนตรีออร์แกนของโบสถ์

8. สมองของ Einstein ถูกเก็บไว้ในโหลที่ออฟฟิศของหมอของเขา

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 1955 นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขาได้เขาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล Princeton เพื่อตรวจความเจ็บปวดในหน้าอกของเขา ในเช้าวันถัดมา เขาก็เสียชีวิตด้วยโรค หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพอง

ในขณะที่ข่าวกำลังแพร่กระจายถึงการตายของ Einstein ด้วยอายุ 76 ปี สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น สมองของเขา สมองที่กักเก็บความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเขา ถูกขโมยไป และนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราว

พยาธิแพทย์ Dr. Thomaz Stolz Harvey เป็นหมอที่ได้รับมอบหมายในการชันสูตรศพของ Einstein เขาเริ่มการผ่าตัดศพของ Einstein และหลังจากที่เขารู้สาเหตุการตายแล้ว เขาก็ได้ทำการนำสมองของ Einsteinออกมา วัดความกว้าง ช่างน้ำหนัก เขาบอกว่า “อ้อ ก็เห็นผมได้รับอนุญาตให้ชันสูตรเขา ก็เลยนึกว่าจะผ่าสมองเขาออกมาศึกษาได้ด้วย” ประเด็นคือ จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีเอกสารแม้แต่ฉบับเดียวที่มีบันทึกว่า Thomaz ได้รับมอบหมายให้ทำการชันสูตรศพ Einstein

หลังจากการตรวจวัดคำนวณทุกๆอย่างแล้ว Dr. Harvey ก็ได้นำสมองของ Einstein ไปแช่ไว้ในสารฟอร์มาลดีไฮด์ เขาควักลูกตา Einstein ออกมาและนำมันไปให้กับหมอ Henry Adams หมอตาของ Einstein (มีข่าวลือว่า ลูกตาคู่นั้นถูกเก็บไว้ในตู้เซฟของธนาคารที่ไหนสักที่ใน New York) สุดท้ายแล้วศพของ Einstein ก็ถูกส่งกลับไปเพื่อเผา

การนำสมองและดวงตาของ Einstein ออกมานั้นขัดกับคำขอสุดท้ายของ Einstein ที่บอกว่าเขาต้องการที่จะถูกเผาทั้งหมดทั้งร่างและนำเอาอัฐิของเขาไปลอยอังคารอย่างลับๆ เพื่อเป็นการไม่ส่งเสริมการเคารพบูชาเขา ไม่เพียงแค่นั้น Dr.Harvey ยังไม่มีสิทธิตามกฎหมายในการเก็บสมองของเขาไว้ด้วย

ภายหลัง Harvey ได้รับอนุญาตจากลูกชายของ Einstein ก็คือ Hans Albert ว่าให้สามารถเก็บสมองพ่อเขาไว้ได้ หลังจากที่ Harvey สัญญาว่าสมองของ Einstein จะถูกนำมาศึกษาเพื่อผลประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และจะตีพิมพ์สิ่งที่ค้นพบลงในหนังสือบันทึกวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย New York Times ฉบับที่มีหน้าปกเป็น Einstein ตีพิมพ์เมื่อ 20 เม.ย. ได้ลงหนังสือว่า Dr.Harvey ได้ทำการชันสูตรศพ Einstein จากการอนุญาตของ Albert แต่ไม่ได้บอกไว้ว่าจริงๆแล้วเขาอนุญาตหลังจากที่ผ่าไปแล้วต่างหาก

Dr.Harvey ได้เก็บสมองของ Einstein ใส่โหลไว้ในออฟฟิศของเขา จนเขาโดนไล่ออกจากโรงพยาบาล Princeton เขาก็ได้นำมันไปกับเขาด้วย เขาได้ไปทำงานต่อที่มหาวิทยาลัย Pennsylvania และได้รับความช่วยเหลือจากมืออาชีพในการผ่าแบ่งสมองออกเป็น 1000 สไลด์ 240 บล็อก เขาใส่มันไว้ในสี่เหลี่ยมเซลลูลอยด์และแจกจ่ายมันออกไปตามที่ต่างๆ และส่วนที่เหลือเขาก็เก็บเอาไว้เองในโหลฟอร์มาลีน

Thomas Harvey เสียชีวิตลงในปี 2007 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขาได้ส่งสมอง Einstein กลับไปที่โรงพยาบาล Princeton ณ ที่ที่มันเริ่มต้นการเดินทางของมัน เหล่ามวลชนก็ได้หันมาสนใจสมองของ Einsteinอีกครั้ง และเหล่านักวิจัยทั้งหลายที่เคยได้รับชิ้นส่วนสมองของ Einstein มา ต่างก็ส่งชิ้นส่วนนั้นกลับมาที่โรงพยาบาล Princeton เช่นกัน

จนปัจจุบันนี้ พิพิธภัณฑ์ Mutter Museum ใน Philadelphia เป็นสถานที่เดียวในโลกที่เราจะสามารถมองเห็นสมองของ Einsteinได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก และรวมไปถึงโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของ Thomas Harvey อีกด้วย

9. องคชาติของ Rasputin ได้ถูกนำมาแสดงที่พิพิธภัณฑ์ erotic หลังจากสูญหายไปหลายสิบปี

Grigori Rasputin (ที่ปรึกษาของครอบครัว Romanov และเป็นที่รักของพระเจ้า Tsar) ดูเหมือนว่าจะเป็นเพลย์บอยที่มีขนาด…ไม่ธรรมดาเท่าไร

มีเรื่องเล่าอยู่ 2 เรื่องเกี่ยวกับการถูกตัดองคชาติของเขาหลังจากการตายในปี 1916 เรื่องแรกเล่าว่า หลังจากที่มือสังหารได้ฆ่าเขา มือสังหารคนนั้นก็ตัดองคชาติของเขาทิ้งทั้งพวง และพนักงานทำความสะอาดที่ต้องมาเก็บกวาดศพของเขาก็ได้เก็บองคชาติของเขาไป แต่บางคนก็เล่าว่าเพื่อนสาวของเขาได้เก็บองคชาติของเขาไปเป็นที่ระลึกหลังจากการชันสูตรศพ

กระจู๋ของ Rasputin ดูจะมีประวัติที่มีสีสันไม่น้อย หลังจากที่มันถูกแยกออกมาจากร่างกายของเจ้าตัวแล้ว มันถูกพบครั้งแรกที่ปารีส ปี 1920 เมื่อมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งได้ทำการบูชามันเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งในตอนนั้นลูกสาวของ Rasputin ก็ได้ขอร้องว่าให้เอาของๆพ่อเธอคืนมาเถอะ

เร็วๆนี้ พิพิธภัณฑ์รัซเซียแห่งความ erotic (เปิดอยู่ที่ St.Petersburg ตั้งแต่ปี 2004) เป็นที่ฮือฮากันว่าได้องคชาติของ Rasputin มาไว้ในครอบครอง ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Igor Knayazkin กล่าวว่าเขาได้ซื้อมันมาจากร้านขายของเก่าในฝรั่งเศสด้วยราคา $8000 แต่ว่ามันยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าเป้นของ Rasputin จริงหรือไม่ องคชาตินี้ยาวถึง 11 นิ้ว แต่ลูกสาวของ Rasputin ที่ชื่อ Marie กล่าวว่าของพ่อเธอนั้นจริงๆต้อง 13นิ้ว จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่ามันอาจจะเป็นกระจู๋ม้าหรืออะไรทำนองนี้มากกว่า

ขอบคุณที่มา www.talulok.com

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...