ตื่นเถิดชาวพุทธ! ผ้าเหลืองเสื่อม วิกฤต “ธรรมกาย”

 ตกเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องสำหรับ “วัดพระธรรมกาย” ที่ใช้ผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือหลอกลวง หลอกให้คนทำบุญเพื่อแลกกับการขึ้นสวรรค์ ซึ่งบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ศาสนาเสื่อม ล่าสุด ชาวระนองลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างหนัก ไม่ยอมให้พระวัดธรรมกายบิณฑบาต เพราะไม่ใช่วิถีที่จะต้องมาปิดถนนเพื่อจัดงาน!!
       
       รวมพล ประชาทัณฑ์!
       กลายเป็นประเด็นร้อนระอุไม่จบไม่สิ้นเสียที กรณีวัดพระธรรมกาย ที่มีข่าวให้เห็นตามหน้าสื่ออยู่บ่อยครั้ง ทั้งการออกมาแฉกันรายวัน จากพระลูกวัดหรือคนที่ต้องการเตือนสติไม่ให้ผู้ที่กำลังจะตกเป็นธาตุถลำลึกไปมากกว่านี้ เพราะหากใครไปวัดพระธรรมกาย จะถูกใช้วิธีต่างๆ นานา ให้หลงเชื่อ เพื่อบริจาคเงินเป็นจำนวนมากในการทำบุญแต่ละครั้ง
       
       ล่าสุด เกิดการรวมพลคัดค้านขึ้นที่จังหวัดระนอง บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีการจัดเตรียมสถานที่ โดยนำแผงกั้นจราจรมาปิดถนน เพื่อจัดพิธีตักบาตรมิตรภาพไทย- พม่า พระ 1,000 รูป ของศูนย์กัลยาณมิตรแก้ว จ.ระนอง และเครือข่ายวัดพระธรรมกาย
       
       เมื่อชาวระนองทราบถึงพิธีตักบาตรดังกล่าว จึงเกิดการคัดค้านและไม่เห็นด้วย รวมกลุ่มชุมนุมรื้อแผงกั้นจราจร และรื้อป้ายประชาสัมพันธ์การจัดงาน ที่เตรียมไว้สำหรับพิธีการจัดงานออกทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า ไม่เห็นด้วยกับการปิดถนนเพื่อจัดงานในครั้งนี้ เพราะไม่ใช้วิถีของชาวระนองที่ต้องมาปิดถนน ซึ่งเป็นถนนเส้นเศรษฐกิจ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก และการตักบาตรยังต้องมีเงินปัจจัยมาร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้
       


       


       ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ “พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก” 1 ใน 3 ของผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย อดีตมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสและเหรัญญิก ได้ออกมาเปิดใจเกี่ยวกับกรณีฉาวของวัดพระธรรมกายกับหนังสือพิมพ์สำนักหนึ่งความว่า เทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายคือ พยายามที่จะบอกบุญหรือเรี่ยไรเงินในรูปแบบของธุรกิจมากกว่าการสร้างศรัทธาให้คนทำบุญด้วยจิตใจ
       
       ไม่ใช่การบอกบุญธรรมดา แต่เป็นการพยายามเซ้าซี้เพื่อที่จะทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเกรงใจทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ถ้าเขาไม่มีเงินก็ทำให้เกิดความงมงาย โดยการให้ไปกู้เงินมาทำบุญ และเร้าให้คนทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน ยิ่งบุญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ขึ้นสวรรค์
       


       นอกจากนี้ การที่ออกมาพูดว่าเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้าได้นั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อยกย่องตนเอง ถือเป็นการสร้างสัญลักษณ์ให้กับตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ ผู้ศรัทธาส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีนีที่โดนสอบประวัติ ว่ามีทรัพย์สินมากมายมหาศาล โดยจะโน้มน้าวให้คนเหล่านี้เกิดศรัทธา ทำให้เห็นเขาเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและผิดหลักทางพุทธศาสนา ถือเป็นการเผยแพร่ในทางที่ผิด
       
       ทางด้านสังคมออนไลน์ก็เช่นกัน ต่างโหมกระหน่ำ และไม่มีเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของวัดพระธรรมกาย ผู้คนนจำนวนไม่น้อย ออกมารวมตัวกันต่อต้าน ทั้งการสร้างแฟนเพจ อาทิ “แฉธรรมกาย” ซึ่งมีคนกดไลค์เกือบ 40,000 คน หรือเพจ“มั่นใจเด็กไทยเกินล้านต่อต้านคำสอนจากวัดพระธรรมกาย” ที่มีคนกดไลค์เกือบ 50,000 คน
       
       โดยแฟนเพจเหล่านี้ มีการแฉการกระทำของวัดพระธรรมกายที่บิดเบือนหลักคำสอนของศาสนา ทั้งการแชร์ข่าวจากเว็บไซต์ข่าวต่างๆ เพื่อเตือนสติให้แก่คนที่กำลังหลงงมงาย หรือแม้แต่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ทั้งในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กต่างก็ร่วมกันแสดงความคิดเห็นผ่านทางแฟนเพจเป็นจำนวนมาก บ้างก็บอกว่า “สึกออกมาเหอะ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่พระแน่นอน อย่าห่มเหลืองให้เป็นอัปรีย์กับจีวรเลย” ความคิดเห็นจาก “Pipat T. รักในหลวง”
       
       บ้างก็บอกว่า อยากให้ยึดทรัพย์สินของพระที่มีเงินทั้งหมดเพราะเป็นพระต้องปลง “ยึดให้หมดทรัพทย์สินพระที่มีเงินในบัญชีเกินแสน ออกกฎหมายมาเลย เป็นพระสิต้องปลงเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย. สอนเองแท้ๆ บวชไปบางองค์สบายกันจริงนอนกินทั้งวัน ทั้งกินเหล้า เสพเซ็กซ์เต็มไปหมด” ความเห็นจาก “Suphachai Sirimonthakul”
       
       หรือบอกให้ยึดหลักตามคำสอน หมั่นทำความดีก็จะได้ขึ้นสวรรค์เอง “พุทธองค์ท่านสอนให้ ทำความดี ไม่ได้สอนให้ขึ้นสวรรค์ชั้นไหน ทำความดีไม่สิ้นสุดเดี๋ยวมันก็ได้ไปเอง สวรรค์ จบ” ความเห็นจาก “ภาณุพงศ์ แบงค์ ไพรวัลย์”
       
       ปั่นศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง!
       "ดร.นพ. มโน เลาหวณิช" อดีตพระสงฆ์แห่งวัดพระธรรมกาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นร้อนข้างต้นกับทางทีมข่าวASTV ผู้จัดการLive ว่า วัดพระธรรมกายใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้มาตรฐานของธรรมวินัยหมดลง อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่มีอำนาจล้นฟ้าแต่ไม่ได้นำอำนาจเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ดี
       
       “วัดพระธรรมกายขณะนี้ทำให้มาตรฐานของพระธรรมวินัยมันหมดไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมหาเถรสมาคมออกมาอุ้มนะครับแล้วก็คดีความต่างๆ ที่บอกว่าคืนทรัพย์สินแล้วให้ได้กลับมาเนี่ย มันสวนทางกับพระธรรมวินัยทั้งหมดเลย และวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากล้นฟ้าเลยทีเดียวแหละ สามารถจะเอาอำนาจตัวเองไปใช้อะไรต่างๆ ก็ได้ แต่มันไม่ได้ใช้ในทางที่ดีไงครับ
       
       เอาไปใช้โดยบอกว่าพัฒนาศีลธรรมโลก แต่ตัวเองโกงชาวบ้านเขา ทั้งๆ ที่รู้ ผมก็จะบอกว่ามันเหมือนกับหน้าเนื้อใจเสือนะครับ มันเหมือนนักบุญที่ตัวเองทำบุญแล้วทำให้คนใช้อำนาจในทางมิชอบมากมาย คนได้รับความทุกข์ทรมานจากวัดนี้เยอะแยะ ครอบครัวแตกแยกเป็นหมื่นครอบครัวเลยนะครับ”
       


       วัดพระธรรมกายยังคงต้องการเงินทอง สมบัติทรัพย์สินของผู้ที่มีจิตศรัทธาในการแสวงหาบุญอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการปั่นศรัทธาคนทำบุญอย่างบ้าคลั่ง
       
       “ปั่นศรัทธาคนทำบุญกันอย่างบ้าคลั่ง ทำบุญโดยการดูดเอาเงิน ดูดทรัพย์เข้ามาอย่างมโหฬาร แล้วก็ถือเป็นธรรมที่ได้เงินเหล่านั้นมาด้วย ความจริงไม่ใช่เลยทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผู้บริหารวัดก็ยังไม่มีความเมตตา คืนเงินให้เขาไป เงินที่เขาควรจะได้พร้อมดอกเบี้ยคืนให้เขาไปซะ”
       
       ใช้หลักการพระธรรมวินัยในทางที่ผิด แยกไม่ได้ระหว่างอำนาจกับความผิดชอบชั่วดี ดังนั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าวัดพระธรรมกายยึดหลักการใช้อำนาจมากกว่าการใช้คุณธรรม
       
       “ที่สมเด็จพระสังฆราชออกมา หลักฐานนั่นก็ชัดเจนว่าเอาเงินวัดไปเป็นพันล้าน ไปซื้อที่ กว่าจะคืนได้ก็นานแล้ว พอคืนเสร็จแล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำผิด อันนี้มันผิดทั้งหลักการและกฎหมาย ทั้งหลักการธรรมวินัยผิดหมดเลย โดยเฉพาะอำนาจผิดมากมายของวัดพระธรรมกาย อำนาจกับความผิดชอบชั่วดี นี่มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ และใช้อำนาจมากกว่าใช้คุณธรรม"
       


       การกระทำและพฤติกรรมเช่นนี้ ถือว่าบิดเบือนคำสอนและขัดกับหลักศาสนาเป็นอย่างมาก เพราะตามหลักศาสนาจริงๆ แล้วไม่มีพระผู้เป็นเจ้า
       
       “มันบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาไปมาก อย่างการเกิดขึ้นของพระต้นธาตุต้นธรรม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ต้องรู้ตัวเองดีละครับว่าท่านไม่ใช้ต้นธาตุ แล้วท่านยังมาทำบุญอุตริมนุสธรรมที่เกินคนธรรมดา พยากรณ์ด้วยญาณทัสสนะ อันนี้มันก็ผิดอยู่แล้ว 
       
       แล้วอำนาจของท่านก็ไม่ได้มีใครทราบว่าอะไร เพราะว่ามีเงินเยอะ มีพระผู้ใหญ่อยู่เข้าข้างมากมาย ทางพระลิขิตถือว่าท่านปาราชิกไปนานแล้วเป็นปี แต่ก็ยังมีพระพวกอำนาจอยู่ จนกระทั่งสามารถจะเป็นใหญ่ต่อไปได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ความละอายไม่มี”
       
       ต่อข้อซักถามที่ว่า วัดพระธรรมกายนี้พยายามใช้ “หลวงพ่อสด” เป็นเครื่องมือทำมาหากินหรือไม่นั่น เขาตอบกลับทันทีว่า “ใช่” แล้วกล่าวต่อว่า ลูกศิษย์วัดปากน้ำเขาโกรธกันทุกคน
       
       “ถือว่าเป็นการใช้หลวงพ่อสด เป็นเครื่องมือทำมาหากิน ก็บอกว่าหลวงพ่อเป็นทัพหน้า ซึ่งใครๆ ที่เป็นลูกศิษย์วัดปากน้ำจริงๆ ที่จงรักภักดีกับหลวงพ่อวัดปากน้ำเขาโกรธกันทุกคน ยกตัวเองใหญ่ยิ่งกว่าครูบาอาจารย์ ซึ่งตัวเองไม่เทียบกับหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย ใหญ่ยิ่งกว่าหลวงพ่อที่เป็นต้นวิชาอีก”
       
       พระยุคนี้ ต้องแข่งกันรวย?
       ปฏิเสธไม่ได้ว่าธรรมะสมัยนี้ ต่างจากสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ ยังสัมผัสได้ถึงธรรมะยุคปัจจุบันอีกว่า เป็นธรรมะยุคเงินเป็นใหญ่ เพราะสมัยนี้พระสงฆ์ต้องแข่งกันรวย?
       
       “เจ้าอาวาสวัดปากน้ำด้วยปรัชญารับความผิดโดยตรงเลย ไม่ได้เรียกการเตือน ไม่ได้เรียกมาบอกกล่าว เพราะเงินและอำนาจได้ไปมาก ที่นี้มันเป็นยุคกองทุน มันไม่ใช่ธรรมะยุคพระศรีอาริย์ ธรรมะยุคเงินเป็นใหญ่ทุนนิยมเป็นครอบครองประเทศไทยไปหมดแล้ว พระสงฆ์ องค์เจ้าตอนนี้ก็แข่งกันรวยนะครับ”
       
       พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า การเป็นพระต้องสละเงินทอง สมบัติส่วนตัว ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นอาบัติ ทว่า พระในปัจจุบันบิดเบือนคำสอนทำให้ศาสนาไม่เหลืออะไรเลย เหลือเพียงแต่คนนุ่งเหลืองที่หลอกลวงชาวบ้าน
       
       “จะรวยทรัพย์สมบัติก็ออกมาค้าร้องคอโก่ง ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เงินก็ต้องสละ เรียกว่า นิสสัคคีย์ อยากจะมีเงินกัน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเงินนั่นมันอสรพิษ ปัจจุบันพระไทยเราอยากจะมีอสรพิษกันเยอะ พกอสรพิษพากันเต็มย่ามเลย 
       
       มีธุรกิจอุตสาหกรรมพระเครื่องอีกต่างหาก สอนกันบิดเบือนคำสอนเพื่อเอาดีเข้าตัว อสรพิษทั้งนั้นครับ ทำยังไงจะได้เงิน ศาสนามันไม่เหลืออะไร ตอนนี้เหลือแค่การทำมาหากินเป็นอาชีพหนึ่งของคนนุ่งเหลืองที่หลอกลวงชาวบ้าน”
       


       เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกชนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มเติมคือ มีหน้าที่สืบทอดพระธรรมวินัยและไม่ให้พุทธศาสนาแปดเปื้อนสิ่งไม่ดี เพราะหากเราปล่อยปละละเลยจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสียยิ่งขึ้นไปอีก
       
       “พุทธศาสนิกชนนอกจากทำบุญแล้วนะครับยังมีหน้าที่รับผิดชอบพระพุทธศาสนาไม่ให้เลอะสิ่งแปดเปื้อน มีหน้าที่ในการบริหารงานพระพุทธศาสนาด้วยกันเพื่อสืบทอดพระธรรมวินัย ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยใครจะเป็นยังไงช่างมัน พระจะเป็นยังไงก็ช่าง เราจะโกยบุญ แล้วก็เจอพระไม่ปฏิบัติดีก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หลับหูหลับตาทำบุญ กลัวบาป พวกนี้ก็คือจะทำให้พระเสีย”
       
       ถึงเวลาแล้ว ที่ชาวพุทธควรตื่นเสียที และควรมองศาสนาให้ชัดเจนตามหลักพระธรรมวินัยว่า พระสงฆ์ไม่ควรมีเงิน หรือทรัพย์สมบัติติดตัว เพราะการบวชหมายถึงการละทางโลกแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าไม่จำเป็น
       
       “ผมว่าถึงเวลาที่ชาวพุทธควรจะตื่นสักที จับพวกปาราชิกนี่สึกให้หมดนะครับ แล้วก็ทำศาสนาให้มันชัดเจนนะครับ ทำให้มันโปร่งใสสักทีหนึ่ง พระไม่ควรจะมีเงิน พระที่ดีต้องไม่มีเงิน ไม่ใช่ว่าขับเบนซ์หรู ซื้อรถหรู สะสมรถหายาก ซื้อรถหนีภาษีพวกนี้ ผมว่ามันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับประเทศชาติ กับศาสนา รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น”
       
       แล้วก็ยังมีพระบางองค์ออกมาโจมตีอีกบอกว่าการมีสิ่งฟุ้งเฟ้อ เป็นเอกลักษณ์ของพระไทย แล้วไงล่ะครับเอกลักษณ์ของพระไทยคือการเป็นเจ้าสัวเหรอ มันไม่ใช่ครับ พระที่มีเงินไม่เรียกว่าพระ เค้าเรียกนักธุรกิจ แล้วคนไทยก็ไปนิยมชอบ พระหมอดูก็ชอบ พระผู้วิเศษก็ชอบ ให้หาแก่นสารในด้านธรรมะมาพัฒนาตนเอง” อดีตพระสงฆ์แห่งวัดพระธรรมกาย กล่าวทิ้งท้าย

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...