เปิดตำนาน “พระฉาว” เมืองไทย ดังไกลไปทั่วโลก

เมืองไทยเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา แต่ในอดีต กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับพระเกิดขึ้นมากมาย หลายกรณีก็เป็น
เรื่องราวใหญ่โตตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไทยอย่างครึกโครม

วันนี้จึงขอนำทุกท่านย้อนสู่ความทรงจำ เปิดตำนาน “พระฉาว” เมืองไทย เพื่อให้ทุกท่านได้
ฟื้นความทรงจำ อีกครั้ง…

 

 พระนิกรอดีตพระนักเทศน์เสียงทอง  แอบทำสาวท้อง

พระนิกร ซึ่งเป็นอดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุคนั้น หลายคนคงจำชื่อ “พระครูใบฎีกานิกร ธัมมวาที” แห่งวัดสันปง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน นายนิกร เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่เป็น นายธรรมรัตน์ ยศคำจู เคยเป็นอดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย แม้หนทางไปสู่วัดสันปง จะยากลำบากเพียงใด ไม่เคยเป็นปัญหาด้วยพลังศรัทธา จนถึงขั้นต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศขึ้นเป็นสาขา

เรื่องราวใหญ่โตได้เริ่มเมื่อ พ.ศ.2533 พระนิกรกำลังรุ่งโรจน์สุดขีด ได้สร้างความปวดร้าวให้แก่ชาวพุทธ กลับมีข่าวฉาวกับนางอรปวีณา ที่ออกมายืนยันความสัมพันธ์กับพระนิกรพร้อมด้วยทายาทในท้อง แต่พระนิกรพยายามตอบโต้ข่าว ว่ามีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตนเอง อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ ได้พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหา ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง โดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจับจิต จะมีพฤติกรรมเช่นนั้น

มีหลักฐานมากมายที่แสดงจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมถอดผ้าเหลืองและยังมีคนอีกมากมายหลงศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะเต็มไปด้วยหลักฐาน ตั้งแต่จดหมายรัก ภาพถ่าย จนถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรมและศาลสงฆ์ ซึ่งในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น “ปฐมปาราชิก” คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้

อดีตพระนิกร ที่เสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก เมื่อคืนวันที่ 11 ก.ย. ที2557

  พระยันตระ ช็อกครั้งใหญ่วงการผ้าเหลือง

ช็อกครั้งใหญ่ อีกครั้ง สำหรับศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทยมากที่สุด เห็นจะเป็น ข่าวฉาวโฉ่ของ พระยันตระ อมโร หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ ที่ขณะนั้น ไม่ว่าพระยันตระ จะเดินทางไปแห่งหนไหน ผู้คนและฝูงชนแห่งศรัทธาจากทั่วสารทิศ  จนในปี พ.ศ. 2537 มีสีกากลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังกรมการศาสนาว่า “ยันตระ” หรือ “นายวินัย ละอองสุวรรณ” ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ เพราะได้ไปล่อลวงสีกาชื่อ “จันทิมา มายะรังษี” ไปเสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดบุตรสาวออกมาตั้งชื่อว่า “เด็กหญิงกระต่าย” โดยสีกากลุ่มนี้ได้งัดเอาเทปสนทนาระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมาออกมาใช้เป็นหลักฐานด้วย

มติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้เขาพ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น

ต้องปาราชิกาธิกรณ์และถูกมติมหาเถรสมาคมลงให้พ้นจากภาวะพระภิกษุ และหลบหนีออกนอกประเทศเมื่อ พ.ศ.2537 ไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน

แต่ชีวิตของอดีตพระยันตระมิได้ตกระกำลำบากเลย ตรงกันข้าม เขากลับมีชีวิตที่สุขสบายภายในสำนักสุญญตาราม เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลาจะผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว  จนล่าสุดเมื่อมีข่าวว่า “ยันตระ” กลับมาประเทศไทยแบบสบาย ๆ  โดยเจ้าตัวอ้างว่า คดีความทุกอย่างหมดอายุไปแล้ว.

พระอิสระมุนี จบเกมส์เพราะ จดหมายเขียนถึง สีกา

พระอิสระมุนีเป็นพระนักเทศน์ที่มีความสามารถ สั่งสอนธรรมะให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม  พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา ซึ่งเป็นที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ภริยา พจมาน ชินวัตรเป็นอย่างมาก

 

กระทั่ง พระอิสระมุนีตกเป็นข่าวว่าต้องปาราชิก หลังจากมีเพศสัมพันธ์กับสีกาคนสนิท ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544 จากการสืบสวนของทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม มีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที  ทำให้เจ้าตัวต้องเผ่นออกจากวัดป่าละอู แอบไปหนีสึกอยู่ในพื้นที่จ.สระแก้ว ปิดฉากความเป็นอาจารย์ของตระกูล”ชินวัตร”ลงอย่างสิ้นเชิง

คาวผ้าเหลือง “ภาวนาพุทโธ ขยี้กามเด็กสาวชาวเขา

“พระภาวนาพุทโธ” หรือนายจำลอง คนซื่อ พระธุดงค์นักพัฒนาที่โด่งดังในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อดีตเจ้าอาวาสวัดชื่อดัง ใน จ.นครปฐม จะกลับกลายมาถูกดำเนินคดีข่มขืนบรรดาเด็กสาวชาวเขา ที่มาพักอาศัยภายในวัด

ต้องย้อนกลับไปเมื่อ ต้นเดือน ส.ค.2538 เมื่อมีบรรดาญาติของเด็กหญิงชาวเขา เหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มายื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองบังคับ การปราบปราม (บก.ป.) และกรมคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก กรมประชาสงเคราะห์ ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากพบว่ากรณีมีเด็กหญิงชาวเขารวม 6 คน มาพักอาศัยอยู่วัดเพื่อหวังให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อสูง ๆ ตามคำชักชวนของภาวนาพุทโธ เมื่อครั้งออกธุดงค์

พฤติกรรมของอดีตพระภาวนาพุทโธนั้น ถูกระบุในคำพิพากษาว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน  ญาติของเด็กหญิงชาวเขา เหยื่อของพระภาวนาพุทโธคนหนึ่ง ทราบพฤติกรรมดังกล่าว จึงได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม ซึ่งเมื่อสื่อได้ข้อมูล-ข้อเท็จจริง ข่าวจึงถูกกระพือ ถัดจากนั้นมาอีก 9 ปีเต็ม ทั้งการดำเนินการในชั้นของพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ศาลชั้นต้น

จึงพิพากษา นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีและไม่เกิน 14 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง 160 ปี แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี มีการสู้คดีกันต่อแต่ทั้งศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็ยังคงพิพากษายืน

แม้ปัจจุบันนายจำลอง จะหมดสิ้นอิสรภาพ! แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา คงมีบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ยังยึดมั่นในศรัทธา

 เณรแอ จอมขมังเวทย์ หรือ จอมลวงโลก

เณรแอ จอมขมังเวทย์ เป็นเจ้าของต้นตำรับ กุมารทอง ของขลัง รวมทั้งมนต์ดำเสน่ห์ยาแฝดที่ชื่อดัง บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหนองระกำ อ.หนองโดน จ.สระบุรี อยู่หลายปี แม้ว่าอายุจะถึงวัยที่ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่เณรแอก็ไม่ยอมอุปสมบท แต่เลือกที่จะร่ำเรียนไสยศาสตร์มนต์ดำจากอาจารย์เขมร จนว่ากันว่ามีอาคมแก่กล้า ช่ำชองการทำเสน่ห์ยาแฝด การสะเดาะเคราะห์ และปลุกเสกของขลัง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่ละวันมีลูกศิษย์ลูกหาเดินทางไปให้ เณรแอ ทำพิธีทางไสยศาสตร์ให้จำนวนมาก

กระทั่งพ.ศ.2537 เณรแอ ใช้ใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำทำพิธีปลุกเสกกุมารทอง ของขลังตามท้องเรื่องในวรรณคดีดัง ขุนช้างขุนแผน ที่เณรแอและผู้คลั่งไคล้ไสยศาสตร์ เชื่อกันว่า เป็นผีเด็ก ที่ใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะทำให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การค้าการขายได้กำไรดี แต่พิธีกรรมปลุกเสก กุมารทอง ในครั้งนั้น ทำให้เณรแอต้องติดคุกอยู่ 1 ปีเต็ม

พ.ศ.2538 เณรแอ ได้แต่งงานกับ นางชไมพร รักษาจิตร์ โดยยังคงยึดอาชีพหมอเสน่ห์ ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ต้องเลิกรากันไป โดยนางชไมพรอ้างว่าทนพฤติการณ์ของเณรแอไม่ไหว กรณีบังคับให้หลอกลวงหญิงสาวที่มีปัญหาครอบครัวให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ และได้ฟ้องหย่าต่อศาล

ปัจจุบัน เณรแอ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จากคำพิพากษาศาลอาญารัชดาฯคดีฉ้อโกง เป็นเวลา 100 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 75 ปี

จากการสืบสวนของตำรวจ ปดส.ในครั้งนั้น พบว่ามีหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของ “เณรแอ” ทั้งสิ้น 33 คน ในจำนวนนั้นมีดารา นักแสดง และผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม หลายรายรวมอยู่ด้วย

 หลวงปู่เณรคำ พระไฮโซ คนดังโลกโซเชียล

หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก มีนามเดิมว่า “วิรพล สุขผล มีชื่อเสียงจากความสามารถในการสั่งสอน  ท่านอายุเพียง 30 ปีเศษเท่านั้น แต่ที่ท่านเรียกตัวเองว่า หลวงปู่ เพราะรวมกับอายุในชาติที่แล้ว ท่านระลึกชาติได้หลายแสนชาติ เห็นนรก เห็นเทวดาและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก กับภาพถ่ายในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ชูสองนิ้วในศูนย์การค้า โดยภายในคลิปเป็นภาพคณะสงฆ์จำนวน 3 รูปนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว  หูเสียบหูฟังไอโฟน สวมแว่นตาดำและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง

ทั้งนี้ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ได้ออกมาเปิดเผยถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ “เณรคำ” จนมีลูกชายวัย 11 ขวบ เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ  จึงมีมติให้ อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ

นี้ยังไม่นับรวมถึงความผิดในเรื่องอื่นๆ ทั้งฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงินโดยเบียดบังเงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินและการนำเงินไปฝากในต่างประเทศ แสดงและใช้วุฒิการศึกษาเท็จว่าจบด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคน มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรูซึ่งมีทั้งที่ซื้อใช้เอง และซื้อแจกพระผู้ใหญ่หลายรูป ฯลฯ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และวิธีที่จะนำตัวกลับมาดำเนินคดี แต่ก็มีคำถามของคนที่อยากรู้ตามมาว่า จริงๆ แล้วตอนนี้สมีคำอยู่ที่ไหนกันแน่ รอเวลาจนคดีหมดอายุความแล้วค่อยกลับเมืองไทย…เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป คดีจะจบลงแบบไหน

 พระธัมมชโย  ประมุขแห่ง ธรรมกาย

พระธัมมชโย หรือ พระเทพญาณมหามุนี มีนามเดิมว่าไชยบูลย์ สุทธิผล

เมื่อปี 2540 พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในประเด็นยักยอกทรัพย์ จากการบริหารเงินบริจาค การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทางพระธรรมวินัยขั้นปาราชิก

เกือบ 7 ปี ของการดำเนินคดี ตั้งแต่ปี 2542-2549 เมื่อพระธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินและที่ดินให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว ดังนั้น มติ มส.ในขณะนั้นจึงไม่ได้ให้ปาราชิก และยังสามารถดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้

และเป็นเรื่องดัง กรณีเงินบริจาคของ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เมื่อปี 2556 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยได้รับการยืนยันว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์นั้น ยังไม่ได้มีมติเกี่ยวกับพระธัมมชโย และยังไม่ได้มีการพิจารณาด้วยว่าจะปาราชิกหรือไม่ปาราชิก มีแต่เพียงการเข้าไปรับทราบและชี้แจงเท่านั้น  โดยในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ ทางมหาเถรสมาคม จะมีการประชุมพร้อมนำเรื่องการตั้งคณะทำงานชุดนี้เข้าหารือ เพื่อรับรองอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

และนี่คือ เปิดตำนาน “พระฉาว” เมืองไทย ที่ข่าวดังไกลไปทั่วโลก 

1 มี.ค. 58 เวลา 15:12 3,735
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...