ตำนานความโชคร้ายของวันศุกร์13

 

 

 

 

 

" พรุ่งนี้คือวันศุกร์ที่13 ซึ่งวันศุกร์ที่13นานๆทีจะมีมาสักครั้งนึงวันนี้เจ้าของกระทู้เลยนำตำนานต่างๆที่เกี่ยวกับวันศุกร์ที่13มาฝากกันครับ "


ความเชื่อที่ว่า ถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาวตะวันตกหลายชาติมาช้านาน จนนักจิตวิทยาพบว่า หลายคนที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ขึ้นมาจริงๆ เนื่องจากรู้สึกวิตกจริตเกินเหตุ จนเกิดศัพท์บัญญัติเรียกโรคของคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia ซึ่งมาจากภาษากรีก 3 คำคือ วันศุกร์ (Paraskevi) สิบสาม (dekatreis) และความหวาดกลัว (Phobos) โดยมีการประเมินว่า ประชาชนราว 21 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา ยังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่ และทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนายังประเมินอีกว่า ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหน หรือกระทั่งไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

 
สำหรับที่มาและตำนานของศุกร์ 13 นั้นมีอยู่หลายเรื่อง โดยในที่นี้เราจะมาพูดถึง 3 เรื่องเด่นๆ
 


1.ความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 จากตำนานของชาวนอร์สโบราณ

หนึ่งในทฤษฎีที่มีผู้โยงไปความโชคร้ายของวันศุกร์ที่ 13 คือตำนานของชาวนอร์สโบราณในดินแดนสแกนดิเนเวีย ซึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีเทพ 12 องค์ มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของ "เอกีร์" เทพแห่งมหาสมุทร ซึ่งงานเลี้ยงก็ดำเนินไปอย่างมีความสุขและสนุกสนาน แต่แล้วความสุขก็ต้องจบลง เมื่อ"โลกิ"เทพแห่งไฟซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงาน ได้พังประตูรั้วเข้ามาในงาน (เลยกลายเป็นแขกคนที่ 13 ที่ไม่ได้รับเชิญ) จากนั้นจึงสั่งให้"ฮอด"เทพแห่งความมืดมิด(ซึ่งตาบอด) โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ "บาลเดอร์"เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที ซึ่งเป็นเหตุให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลดนับแต่นั้นมา ตัวเลข 13 จึงกลายเป็นเลขแห่งความโชคร้ายไปโดยปริยาย


แต่ทว่า ทฤษฎีนี้ก็มีผู้แย้งว่าไม่น่าจะเป็นที่มาของความเชื่อเรื่องอาถรรพ์ศุกร์ 13 ได้ เนื่องจากตามตำนานก็ไม่เห็นกล่าวเกี่ยวกับวันศุกร์ไว้เลย แถมที่จริงแล้ว ข้อความในบทกวีโลกาเซนนาที่เป็นต้นฉบับภาษานอร์สโบราณ ได้มีการกล่าวถึงชื่อเทพที่ไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว รวมแล้วถึง 17 องค์ แม้ว่าจะระบุว่าเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ใช่คนที่ 13 เสียแล้ว ทฤษฎีนี้จึงน่าจะมีความเป็นไปได้น้อย

อีกทฤษฎีหนึ่งที่มีผู้เชื่อถือกันมาก ว่าเป็นที่มาของความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 คือ เรื่องราวของผู้ร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซูคริสต์ 
 


2.ความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 จากเรื่องอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์

ทฤษฎีที่มีผู้โยงว่า จุดกำเนิดของความเชื่อเรื่องความโชคร้ายในวันศุกร์ 13 มาจากเรื่องของพระเยซูคริสต์นั้น นับเป็นทฤษฎีที่มีผู้เชื่อถืออย่างกว้างขวางมากที่สุด โดยมาจากเรื่องที่ว่า ในวันที่พระเยซูทรงเสวยอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) นั้น มีผู้ร่วมโต๊ะเสวยรวมทั้งหมด 13 คน (พระเยซู+อัครสาวก 12 คน รวมเป็น 13) และหลังจากอาหารมื้อนั้น พระองค์จึงจับกุม และถูกนำไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ - ซึ่งชาวคริสต์เรียกว่าวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) - เลข 13 และ วันศุกร์ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้าย ยิ่งมาอยู่ด้วยกันแล้วยิ่งโชคร้ายเป็นทวีคูณ กลายเป็นตำนานความเชื่อเกี่ยวกับศุกร์ 13 ในเวลาต่อมา


อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่มีหลักฐานใดที่บันทึกหรือบ่งชี้ได้ว่า ประชาชนชาวตะวันตก ได้ถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย โดยเพิ่งเริ่มมีหลักฐานถึงเรื่องดังกล่าวในบันทึกของชาวอังกฤษเมื่อช่วงราวศตวรรษที่ 18 มานี้เอง
 



3.การล่มสลายของอัศวินเทมพลาร์ในวันศุกร์ที่ 13

อีกทฤษฏีที่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของความเชื่อในความโชคร้ายของวันศุกร์ที่ 13 ระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการกวาดล้างอัศวินเทมพลาร์ กลุ่มอัศวินที่ทรงอำนาจและมั่งคั่งที่สุดในยุโรป (ที่จริงพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทรงเป็นหนี้เงินกู้อย่างมหาศาล จากธนาคารของเหล่าอัศวินเทมพลาร์) โดยทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนด้วยข้อหานอกรีต การกวาดล้างเป็นไปด้วยความรุนแรง พวกเขาถูกทรมานและบังคับให้รับสารภาพ ก่อนจะถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น จากนั้นจึงถูกอายัดทรัพย์ทั้งหมดเข้าท้องพระคลังฝรั่งเศส

 

 

ที่มา: http://history-on-timeline.blogspot.com/2015/01/13.html 
https://www.youtube.com/watch?v=MKkhNAh-KSM
12 ก.พ. 58 เวลา 20:41 7,607 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...