"ฮาเร็ม" สวรรค์ของหนึ่งบุรุษหรือทุกข์ของสตรี



 

"ฮาเร็ม" สวรรค์ของหนึ่งบุรุษหรือทุกข์ของสตรี

 

 

 

 

ในภาษาอาหรับคำว่า ฮาเร็ม หมายถึง ต้องห้าม มัน จึงเป็นสวรรค์บนดินของผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่เป็นดินแดนต้องห้ามของชายอื่นอีกร้อยพัน เปรียบไปก็เหมือนโรงอาหารที่เต็มไปด้วยของคาวหวานอุดมสมบูรณ์ แต่มีไว้บำเรอปากท้องของคนเพียงคนเดียว ส่วนชายอื่นต่อให้ปากแห้งจนท้องกิ่วก็ไม่มีสิทธิ์ลิ้มลองแม้เพียงครั้ง เดียว 

 

ฮาเร็มหลังแรกเกิดขึ้นในอาณาจักรออตโตมัน ในศตวรรษที่ 13 มีจุดประสงค์เพื่อให้สอดคล้องกับคำสอนของศาสนาอิสลามที่ห้ามไม่ให้คนแปลก หน้าเห็นภรรยา ลูกสาวและข้าทาสผู้หญิงของตน ชาวออตโตมันจึงต้องกั้นอาณาเขตส่วนหนึ่งในบ้านไว้ให้ผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นแม่ เมีย พี่สาว น้องสาวอยู่กันต่างหาก หรือถ้ามีแขกผู้หญิงมาพักก็จะให้มาอยู่ที่นี่ด้วย โดยห้ามมิให้ชายอื่นยกเว้นประมุขของบ้านเหยียบย่างเข้าไป พื้นที่ต้องห้ามนี้เองที่เรียกว่า "ฮาเร็ม" ความหมายที่แท้จริงของฮาเร็ม จึงไม่ใช่ที่สำหรับให้ผู้ชายเข้าไปร่ำกามาเพียงอย่างเดียว อย่างที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจกัน

ตัว การที่ทำให้เวลาพูดถึงฮาเร็ม ทุกคนจะคิดถึงวิมานฉิมพลีของสุลต่านไปซะหมดเป็นเพราะในยุคล่าอาณานิคม ฝรั่งตะวันตกกลุ่มแรกที่มีโอกาสเข้าไปในกรุงอิสตันบูลรู้จักฮาเร็มของ สุลต่านผ่านการดูภาพที่ปักไว้บนผ้าเช็ดหน้าบ้าง พรมติดผนังบ้าง ภาพปักเหล่านี้มักจะเป็นรูปสาวงามหลายร้อยคนกำลังปรนเปรอสวาทให้พระสวามี ฝรั่งเลยเหมาไปว่าฮาเร็มเป็นซ่องขนาดย่อมเอาไว้ประกอบเรื่องอย่างว่าเท่า นั้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสำหรับบ้านเศรษฐีแล้วผู้หญิงในฮาเร็มมีหน้าที่ยอมรับความใคร่ เพียงอย่างเดียวจริงๆ โดยขนาดของฮาเร็มจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับความเงินหนาของเจ้าของบ้าน ว่าจะมีปัญญาเลี้ยงเมียได้กี่คน ในฮาเร็มจะมีเมียหลวงทำหน้าที่เป็นเจ๊ใหญ่ควบคุมความเรียบร้อยเมียน้อยทั้ง เก่าและใหม่ให้อยู่ในโอวาท เพราะเธอคนนี้จะทำหน้าที่เป็นคนจัดว่าวันไหนเมียคนใดจะได้เข้าปรนนิบัติสามี


ส่วนฮาเร็มในพระราชวัง ขั้นตอนการปกครองจะเป็นลำดับลดหลั่นกันลงมาโดยมีพระราชชนนีขององค์สุลต่านเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด รองลงมาคือ "บาส คาดิน เอเฟนด์" หรือพระมเหสีที่ให้กำเนิดโอรสธิดาองค์แรกของสุลต่าน ถัดจากนั้นจึงจะเป็นเหล่าพระสนมที่มีลูกให้แก่สุลต่าน สนมเหล่านี้จะได้รับตำแหน่ง "อิค บาลเลอร์" เทียบได้กับพระชายาของไทยเรา ตำแหน่งรองจากนั้นได้แก่ "เกดิคลี คาดินลาร์" เป็นตำแหน่งของนางทาสที่ถวายงามมานานจนรู้พระทัยองค์สสุลต่านดี เช่น รู้ว่าเวลาสรงน้ำองค์สุลต่านต้องการใช้อะไรบ้าง ต้องส่งอะไรให้ตอนไหน เป็นต้น

 



ตำแหน่งรองลงมาจากนั้นเรียกว่า "โอดา ลิคลาร์" เป็นตำแหน่งของนางทาสสาวๆ ที่ไม่มีใครพามาถวายตัว แต่สุลต่านบังเอิญเห็นแล้วชอบเลยเรียกให้มาค้างคืนด้วยจนตั้งท้อง หลังจากคลอดลูกแล้วพวกนางก็จะมีโอกาสได้เลื่อนขึ้นเป็นพระชายาต่อไป ส่วนตำแหน่ง "กอสเด" คือทาสสาวที่สุลต่านเรียกตัวไปรับใช้ แต่น้ำยาไม่แรงพอก็เลยค้างเติ่งเป็นนางบำเรอไปก่อน ท้องเมื่อไร่ถึงจะเลื่อนไปเป็นโอดาลิคลาร์ แต่ถ้าไม่ท้องก็หมายความว่านางทาสคนนั้นจะต้องเป็นนางบำเรอไปจนตาย ยิ่งในฮาเร็มที่มีสาวงามเป็นร้อยๆ คน ทาสที่ไม่ท้องหลังจากถวายตัวครั้งแรกมักจะถูกลืมไปเลย ทั้งยังต้องกลายเป็นผู้หญิงที่มีราคี จะออกจากวังไปแต่งงานก็ไม่มีผู้ชายคนไหนรับเป็นเมีย อยู่ในวังต่อไปก็ไม่มีอนาคต กอสเดจึงเป็นตำแหน่งที่อาภัพที่สุดแล้วในบรรดานางบำเรอทั้งหมด

ทุก เช้าเวลาสิบโมงตรง หญิงงามประมาณ 300-900 คนจะเดินเรียงแถวผ่านองค์สุลต่านไปทีละคน ใครมีจริตจะกร้านมารยาหญิงแพรวพราวแค่ไหน ก็จะงัดออกมาใช้กันเต็มที่ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเจ้าชีวิต ส่วนองค์สุลต่านเองก็จะถือข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับหญิงสาวเช่น อายุ ความสูง ส่วนเว้าส่วนโค้ง นิสัยใจคอ และความสามารถต่างๆ ไว้ในมือ ที่ต้องอ่านบันทึกประกอบไปด้วย ก็เพราะจำนวนนางสนมทั้งหมดเยอะแยะเสียจนตาลาย ถ้าไม่อ่านอย่าหวังว่าสุลต่านจะจำใครได้ ขนาดคนที่เคยถวายตัวนอนกกมาแล้วทั้งคืน ดีไม่ดีสุลต่านอาจจะจำชื่อจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำไป

 

 

 



พอสุลต่านเลือกสาวงามที่จะร่วมเรียงเคียงหมอนในคืนนั้นเป็นที่เรียบร้อย นวลนางเหล่านั้นก็จะถูกส่งไปยังห้อง "เตอร์กิช บาธ" เพื่ออาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณและอบผิวทุกซอกทุกมุม เส้นขนทุกเส้นต้องชโลมด้วยนำมันที่ทำจากขี้ผึ้งเพื่อให้อ่อนนุ่มเป็นเงางาม ไม่ระคายมือเวลาลูบไล้ จบด้วยการพรมน้ำหอมให้หอมฟุ้งไปทั้งตัวเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะไปแต่งสวยด้วยผ้าแพรบางเบาและเครื่องเพชรเครื่องทองตั้งแต่หัวจรดเท้า จนได้เวลาสาวงามก็จะคลานชดช้อยเข้าไปหาสุลต่าน โดยต้องเข้าไปทางปลายเท้าเท่านั้น ห้ามไม่ให้โผเข้าไปกอดหรือไปนั่งตักฉอเลาะป๋าคะป๋าขาเป็นอันขาด ใครอุตริทำผิดกฎยูนุคจะถูกเข้ามาลากตัวไปทำโทษอย่างทารุณ และจะไม่มีโอกาสได้ถวายตัวอีกเลย

รู้จักชีวิตในฮาเร็มพอคร่าวๆ กันไปแล้ว ทีนี้เรามาดู 3 ฮาเร็มที่จัดว่าเป็นสุดยอดวิมานในฝันของชายกันดีกว่า

  อันดับที่ 1 ฮาเร็มของสุลต่าน กียาส อัด ดิน ศตวรรษที่ 15 

ฮาเร็มนี้ควรจะได้รับตำแหน่งสุดยอดจริงๆ นั่นแหละ เพราะจุสาว ๆ ไว้ถึง 15,000 นาง เนื่องจากสุลต่าน กียาส อัด ดิน ทรงเป็นนักรบมาตลอกชีวิต กว่าจะได้ครองบัลลังก์ก็พระชนมายุปาเข้าไปตั้ง 48 ปีเข้าไปแล้ว เลยทรงตักตวงความสุขเป็นการใหญ่ จนไปๆมาๆ นางบำเรอชักจะล้นฮาเร็ม แต่ครั้นจะโละทิ้งไปบ้างก็ทรงเสียดาย จึงสร้างเมืองใหม่ขึ้นมารองรับนางบำเรอโดยเฉพาะ ให้ชื่อว่าเมือง จาฮาซ เมฮัล พอมีเมืองแล้วที่นี้จะมีเมียสักกี่คนก็ไม่ต้องหวั่น ปรากฏว่าตอนที่สุลต่านกียาสทรงสิ้นพระชนม์ สามารถนับจำนวนนางบำเรอได้ถึง 15,000 คน ประมาณคร่าวๆ ว่าถ้าเสพสม 1 คืนต่อ 1 คน ไม่เว้นวันหยุด องค์สุลต่านจะต้องกรำศึกเป็นเวลา 41.1 ปี ถึงจะนอนกับนางบำเรอได้ครบทุกคน เล่ากันว่าตอนใกล้สิ้นพระชนม์ สุลต่านกียาสไม่เกรงกลัวความตายเลย ทรงตรัสว่า แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตเพราะข้าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว

 อันดับที่ 2 ฮาเร็มของกุ๊บไลข่าน ศตวรรษที่ 12 


กุ๊บไลข่านนั้นเป็นหลานปู่ของเจงกิส ข่านและเป็นช่วงที่มองโกลยึดครองประเทศจีนได้สำเร็จ ฮาเร็มของกุ๊บไลข่านมีสาวๆ สะสมไว้ประมาณ 7,000 นาง โดยมีจักรพรรดินีทั้ง 4 พระองค์เป็นหัวเรือใหญ่ในการเสาะหาเมียน้อยมาประดับบารมี จักรพรรดิดินีแต่ละองค์จะส่งคนรับใช้เดินทางไปทั่วแผ่นดิน เพื่อหาสาวพรหมจรรย์หลายเชื้อชาติ ทั้งเปอร์เซีย อาหรับ จีน ฯลฯ กลับมาเป็นนกน้อยในฮาเร็ม ฮาเร็มของกุ๊บไลข่านจึงเหนือกว่าฮาเร็มของสุลต่านกียาส อัด ดิน ตรงที่มีผู้หญิงหลายเชื้อชาติหลากสไตล์ เรียกว่ามีรสเผ็ดเปรี้ยวเค็มหวานครบถ้วน อีกทั้งกุ๊บไลข่านไม่ใช่คนขี้เสียดาย เลยโละสาวที่ใช้งานแล้วทิ้งทุกๆ 2 ปี ครั้งหนึ่งก็ประมาณ 400-500 คน มีการแอบนับกันเล่นๆ ว่านี่ถ้าไม่โละทิ้งเลย กว่ากุ๊บไลข่านจะสิ้นพระชนม์ตอนอายุ 79 ปี พระองค์น่าจะมีสนมประมาณ 20,000 คนชนะสุลต่านกียาสอย่างแน่นอน

  อันดับที่ 3 ฮาเร็มของจักรพรรดิเยอเฮนเจอร์ แห่งอินเดีย ปลายศตวรรษที่ 15 


ในฮาเร็มของจักรพรรดิเยอเฮนเจอร์ แห่งราชวงศ์โมกุล มีพระสนมที่สืบสายเลือดมาจากราชวงศ์ชั้นสูงประมาณ 300 นาง ลูกชาวบ้านที่คัดสรรแล้วว่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์และงดงามอวบอัดอีก 5,000 นาง แต่ถึงขนาดนี้แล้วองค์สุลต่านก็ยังไม่พอใจ เลยต้องไปกว้านเอาเด็กหนุ่มเนื้อเนียนมาเป็นนายบำเรออีก 1,000 นาย เป็นการเปิดศักราชการเสพถั่วดำขึ้นในอาณาจักร ทำให้เศรษฐีในกรุงอิสตันบูลพลอยเอาอย่าง ไปเสาะหาเด็กหนุ่มมาบำเรอกันอย่างออกหน้าออกตาบ้าง สรุปแล้วจักรพรรดิเยอเฮนเจอร์ทรงมีนายและนางบำเรออยู่ในโควต้าทั้งหมด 6,300 คน เป็นลำดับสามในด้านจำนวน แต่กินขาดเรื่องความวิตถาร 

 

 

 

 

#ฮาเร็ม
Sansiro99
นักแสดงรับเชิญ
สมาชิก VIP
12 ก.ย. 57 เวลา 17:43 7,106 1 70
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...