"บลู โลตัส" นักมวยปล้ำอาชีพหญิงไทยคนแรกในประวัติศาสตร์

 

 

 

“บลู โลตัส” นักมวยปล้ำอาชีพหญิงไทยคนแรกในประวัติศาสตร์

 

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา สำหรับบางคนอาจจะเป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไป แต่สำหรับแฟนมวยปล้ำ วันดังกล่าวถือเป็นวันประวัติศาสตร์ เพราะ ณ มุมหนึ่งของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เราได้พบกับนักมวยปล้ำอาชีพหญิงอย่างเป็นทางการคนแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองไทย เธอมีอายุเพียง 19 ปี และชื่อของเธอคือ “บลู โลตัส” (Blue Lotus)

สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามกีฬามาก่อน โดยเฉพาะมวยปล้ำ อาจจะมองมวยปล้ำเป็นความรุนแรง เป็นการแสดง หรือเป็นอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างไกลตัว แต่สำหรับแฟนกีฬา ต้องบอกว่า "มวยปล้ำ" เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในเมืองไทย ถึงขนาดมีการจัดแข่งขันในสนามใหญ่ๆ อย่างสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมียอดผู้ชมเกินความจุของสนาม และไม่มีใครไม่รู้จัก “ดัมพ์ มัตสึโมโตะ” หรือแม้แต่ทางเคเบิลทีวี ที่ถ่ายทอดรายการมวยปล้ำมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี แต่เชื่อหรือไม่ครับ ว่าเมืองไทย ยังไม่เคยมีนักมวยปล้ำอาชีพอย่างจริงๆ จังๆ เลย แม้แต่คนเดียว ถึงแม้ในช่วง 20 ปีก่อน จะมีผู้หญิงไทยไปฝึกในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้รับการเปิดตัวอย่างชัดเจน จนเงียบหายไปตามกาลเวลา
   



เวลาผ่านไป 20 ปี ในที่สุดความฝันของคนไทยก็เป็นจริง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ที่ Shin Kiba 1st Ring สังเวียนมวยปล้ำชั้นนำของญี่ปุ่น เมื่อน้อง บลู โลตัส นักมวยปล้ำหญิงของไทย ได้จับคู่นักมวยปล้ำชื่อดังของญี่ปุ่น ต่อสู้กับคู่หูเจ้าของแชมป์โลก 3 สถาบัน และสร้างความประทับใจให้กับคนดู ตลอดจนสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อย่างงดงาม ถึงแม้เธอจะแพ้ แต่การแข่งขันดังกล่าว ก็ถือเป็นใบเบิกทาง และเป็นจุดเริ่มต้น ที่ประเทศไทย จะได้มีวงการมวยปล้ำอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม

ดังนั้นในโอกาสนี้ ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์น้อง บลู โลตัส พร้อมทั้งได้ไฮไลท์สั้นๆ จากการแข่งขัน มาให้แฟนๆ marumura ได้ชมเป็นที่แรกครับ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาพบกับบทสัมภาษณ์ของเธอกันเลยครับ



ปูมิ ดูมวยปล้ำมานานรึยังครับ? บลู โลตัส ก็ดูบ้างมาตั้งแต่ประมาณสมัยประถม แต่ก็หยุดดูไปสักพักหนึ่งค่ะ จนเมื่อช่วง 5 ปีก่อน ถึงจะมาเริ่ม
ดูอย่างจริงจัง รวมๆ ก็น่าจะ 7 – 8 ปีแล้วค่ะ



ปูมิ แล้วตอนที่เริ่มดูเนี่ย เคยคิดไหมว่า อยากจะเป็นนักมวยปล้ำ? บลู โลตัส ตอนแรกเราก็ดูมวยปล้ำเพื่อความสนุกอยู่หรอก จนเราได้มาเจอนักมวยปล้ำคนนึงที่แบบ เมื่อก่อน
เป็นแค่แฟนมวยปล้ำ แต่หลังจากนั้นเค้าก็พยายามเดินตามฝันและกลายเป็นนักมวยปล้ำแล้วดังขึ้น
มาจริงๆ... นั่นก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรา มาลองฝึกเพื่อเป็นนักมวยปล้ำสักครั้งในชีวิต



ปูมิ แต่ด้วยความที่มันไม่เคยมีมาก่อนในไทย รู้สึกไหมว่ามันอาจเป็นไปไม่ได้เลย ? บลู โลตัส รู้สึกเลยนะว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างแรกเลยคือแฟนมวยปล้ำในไทยตอนนี้มันค่อนข้างน้อยค่ะ มัน
เป็นกีฬาในวงแคบเท่านั้น และอีกอย่างหนึ่งคือคนไทยไม่ชอบความรุนแรง และก็มีอคติกับกีฬา
มวยปล้ำที่คนจะมองว่าไม่ใช่ของจริง เป็นการแสดงหลอกลวง บางทีก็มีตีกันเลือดสาด เพราะแบบนี้
ผู้ใหญ่หลายๆคนก็ไม่อยากให้เด็กๆดูกัน และทางเด็กเองบางทีก็เลียนแบบในทีวีกันอย่างไม่รู้อะไร 
ก็กลายเป็นอุบัติเหตุขึ้นมา ก็ยิ่งโดนต่อต้านมากขึ้นไปอีกน่ะค่ะ เลยคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย



ปูมิ เรามาพูดในมุมของผู้หญิงกันหน่อย เพราะคนส่วนใหญ่จะตั้งคำถามว่า เป็นผู้หญิงแล้วมาสนใจกีฬา
แบบนี้ได้ยังไง ? ความคิดของบลู โลตัส ตอนตัดสินใจเป็นนักมวยปล้ำ คืออะไร? บลู โลตัส คือตอนแรก ก็ได้ข่าวว่าในไทยจะมีสมาคมมวยปล้ำเกิดขึ้น (สมาคมกาโตห์ มูฟ เป็นสมาคมมวย
ปล้ำอาชีพแห่งแรกของไทยในความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น) ที่นี่ก็เลยกลายเป็นความคาดหวัง
ทันทีค่ะ เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ และต้องมาลองสักครั้งหนึ่ง แต่ทางครอบครัวก็ไม่อนุญาตค่ะ
เราก็เลยต้องหยุดไปประมาณ 1 ปี จนช่วงปิดเทอมขึ้นปี 2 เราก็แอบมาฝึกไปเรื่อยๆ โกหกไป
เรื่อยๆเพราะคิดว่าถ้าบอกความจริงไปต้องโดนโกรธแน่ๆ และอาจไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย จนใน
ที่สุดเราจะต้องไปญี่ปุ่นแล้ว เราก็ต้องตัดสินใจบอกความจริงค่ะ ทีแรกเขาก็โกรธนะ แต่ก็เห็นว่า
เราสามารถทำได้จริงๆ เลยหันมาเปิดใจยอมรับสิ่งที่เราทำมากขึ้นค่ะ



ปูมิ ใช้เวลาฝึกนานไหม ? กว่าจะได้ไปเปิดตัวเป็นนักมวยปล้ำอาชีพในญี่ปุ่น ? บลู โลตัส ก็อยู่ประมาณ 8 เดือนค่ะ แต่เป็นการฝึกที่หนักมาก และต้องแบ่งเวลากับการเรียนให้ดี



ปูมิ รู้สึกยังไงที่ได้เป็นนักมวยปล้ำหญิงไทยคนแรก ? และยังได้เป็นคู่เอกในสนามชื่อดังอีก? บลู โลตัส ตื่นเต้นมากค่ะ! เพราะนอกจากเรื่องมวยปล้ำแล้ว เรายังเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้นั่งเครื่องบิน
ไปต่างประเทศด้วย และเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรบ้างที่นั่น คิดว่าจะต้องเป็นประสบการณ์ที่ดีแน่ๆ 
และก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่มวยปล้ำให้กับเราจริงๆ



ปูมิ การฝึกที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้าง? บลู โลตัส หนักมากนะคะ เพราะเวทีมีขนาดใหญ่กว่าในไทยเยอะเลย

 

(ด้านบนนี้คือไฮไลท์การปล้ำของเธอครับ คนญี่ปุ่นเป็นคนทำ จึงมีภาษาไทยที่ยัง
ไม่ได้แก้ไขอยู่ครับ)

 

ปูมิ แล้วตอนถึงเวลาขึ้นปล้ำล่ะ ? บลู โลตัส บอกเลยว่าตื่นเต้นมากค่ะ! กังวลมากด้วย เพราะคนญี่ปุ่นเขารอดูมาตลอดว่า “นักมวยปล้ำไทยคนแรก” จะเป็นยังไง มันเหมือนกับว่ากดดันจากทั้ง 2 ทางคือไทยและญี่ปุ่น เราก็ต้องแสดงศักยภาพ
ให้มากที่สุดอยากให้แมตช์ออกมาดีที่สุด แต่พอปล้ำเสร็จเสียงตอบรับออกมาดี ก็ดีใจภูมิใจ
มากด้วย



ปูมิ แฟนๆ เขาตอบรับเราดีไหม? บลู โลตัส สุดยอดเลยค่ะ ! มีการทำป้ายเชียร์เป็นผ้าใบใหญ่ๆ ให้ด้วย ยอมรับเลยว่าดีใจมาก เพราะไม่คิดว่า
จะมีแฟนๆ ทำเพื่อเราขนาดนี้ และพอเราเปิดตัวออกไป ได้ยินคนเฮลั่นสนาม เราไม่คิดเลยว่าจะมี
ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิต มีคนตะโกนชื่อเราเต็มไปหมด มันเกินจากที่คาดเอาไว้จริงๆ จาก
เดิมเราเป็นแค่คนดูคนหนึ่ง มาวันนี้เรายืนอยู่บนเวที มันมีความสุขมากค่ะ



ปูมิ จุดมุ่งหมายของ บลู โลตัสคืออะไร? บลู โลตัส ต้องแบ่งเป็น 2 อย่าง อย่างแรกในปัจจุบันคือ เราอยากให้คนไทยยอมรับในเรื่องมวยปล้ำมากขึ้น
และอยากให้ค่ายกาโตห์ มูฟของเราเติบโตอย่างแข็งแรงขึ้น คือหลายฝ่ายก็ยังอคติกับมวยปล้ำ
อย่างที่เราพูดไป ดังนั้นก็อยากบอกว่ามวยปล้ำมันเป็นกีฬาที่สนุกนะ สามารถดูได้ทุกวัย และไม่ได้
อันตรายอย่างที่ใครคิด และในอนาคต ความฝันของเราก็คือการเป็นนักมวยปล้ำของ WWE และ
คว้าแชมป์ สร้างชื่อเสียงให้กัประเทศไทย



ปูมิ แล้วแรงบันดาลใจของบลู โลตัส คือใคร บลู โลตัส AJ LEE ค่ะ (แชมป์หญิงของ WWE) อย่างที่เล่าไปในตอนต้นว่าตอนแรกเธอเป็นแค่คนดู และได้มี
โอกาสพบกับมวยปล้ำขวัญใจในงานแจกลายเซ็น ซึ่งเธอดีใจมากจนร้องไห้เลย จากนั้นเธอก็
ตัดสินใจฝึกหนัก จนวันนี้เธอได้กลายเป็นแชมป์ระดับเดียวกับที่ไอดอลของเธอทำได้ เขารักเข็มขัด
เส้นนี้มากเลย เราก็เลยอยากเจอ AJ LEE สักครั้ง และจะตามรอยเธอให้ได้ค่ะ



ปูมิ สุดท้าย มีอะไรจะฝากกับคนไทยไหม บลู โลตัส ถ้าเกิดว่ามองมวยปล้ำเป็นการแสดง เป็นเรื่องไม่จริง เราขอถามหน่อยว่ามันต่างอะไรกับละครที่เรา
ดูกันอยู่ทุกวัน นักมวยปล้ำต้องฝึกหนักมากนะคะ กว่าจะมาแข่งขันได้ในแต่ละครั้ง คือถึงแม้คุณจะ
ไม่ได้ชอบกีฬานี้ แต่เราก็อยากให้เคารพสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่บ้าง เราไม่อยากให้มาดูถูกศักดิ์ศรี
ของคนอื่นค่ะ และอยากฝากแฟนมวยปล้ำว่าตอนนี้เรามีค่ายมวยปล้ำในเมืองไทยแล้ว เราก็อยาก
ให้ทุกคนสนับสนุนวงการมวยปล้ำไทย เพราะเรามีจุดเริ่มต้นแล้ว และเรากำลังโต เราต้องการแรง
สนับสนุนจากคนไทย ต้องช่วยกันค่ะ เราต้องช่วยกันพยุง เราเริ่มแล้ว แต่ถ้าไม่มีใครต่อยอด มันก็
ต้องจบ ถ้าเราทุกคนช่วยกัน วงการมวยปล้ำไทย ก็จะเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยมค่ะ



และบทสัมภาษณ์ข้างต้นก็เป็นเรื่องราวของ บลู โลตัส และการเดินตามความฝันของเด็กคนหนึ่ง ที่เป็นจริงได้เพราะความพยายามของเธอเอง สุดท้ายนี้ผมขอจบบทความนี้ด้วยคอมเมนต์สั้นๆ จากนักมวยปล้ำญี่ปุ่น ที่พูดถึงเธอครับ



ริโฮ (นักมวยปล้ำที่จับคู่กับ บลู โลตัสในญี่ปุ่น – อายุ 16 ปี – นักมวยปล้ำชื่อดังของญี่ปุ่น) 

“ในตอนแรกหนูก็ไม่กล้าคุยกับเธอค่ะ หนูค่อนข้างขี้อาย แต่เธอเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับหนูก่อน และมักจะตะโกนเรียกชื่อหนูด้วยเสียงดังเสมอๆ นอกจากนี้เธอยังมีรอยยิ้มที่น่ารักมากอีกด้วย ดังนั้น วันนี้เราจับคู่เป็นทีมเดียวกัน แต่ครั้งหน้า หนูจะขอท้าเจอเธอแบบตัวต่อตัวค่ะ!”



เอมิ ซากุระ (อาจารย์ของบลู โลตัส และนักมวยปล้ำไทยทุกคน – นักมวยปล้ำยอดเยี่ยมของญี่ปุ่น)

“เราต้องยอมรับว่าเทคนิคของบลู โลตัส ยังสู้คนญี่ปุ่นไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอชนะขาดลอยก็คือรอยยิ้มที่น่ารักมากค่ะ อย่างไรก็ตามฉันเชื่อว่าเธอจะพัฒนาตัวเองขึ้นได้อย่างแน่นอน และฉันจะรอวันที่เธอกลับมาญี่ปุ่น ซึ่งฉันมั่นใจว่าถ้าเธอตั้งใจฝึกให้มากขึ้น เธอจะมีชื่อเสียงในระดับสูงได้อย่างแน่นอน”

ดังนั้นผมก็ขอฝาก บลู โลตัส ไว้กับคนไทยทุกคนด้วยนะครับ และถ้าแฟนๆ marumura ท่านใดอยากจะมาชม “บลู โลตัส” และนักมวยปล้ำไทยคนอื่นๆ ขึ้นปล้ำแบบสดๆ ก็มาดูได้เลยในวันที่ 25 ตุลาคม เวลา 2 ทุ่ม ที่ “ซากุระ โดโจ” ซอยสุขุมวิท 33 / 1 (ลง BTS พร้อมพงษ์ ทางออก 5) งานนี้ “ฟรี” ไม่มีค่าใช้จ่าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากปูมิได้โดยตรง ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii หรือรายละเอียดตามโปสเตอร์ด้านล่างนี้ได้เลย ตลอด 24 ชั่วโมงครับ

 

เรื่องโดย : ปูมิ www.marumura.com
 

 ปูมิ อดีตผู้บรรยายมวยปล้ำญี่ปุ่นในสมาคมชั้นนำ และปัจจุบันเป็นผู้จัดการของสมาคมมวยปล้ำ Gatoh Move Pro Wrestling ในความร่วมมือระหว่างไทย - ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังสนใจในศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เช่นปรัชญาของมิยาโมโตะ มุซาชิ หรือกระทั่งไอดอลสาว AKB48       


14 เม.ย. 57 เวลา 16:22 12,007 4 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...