รักสุดท้ายของผู้ชาย "ขายตัว" 20+

 

 

 

 

 

 

รักสุดท้ายของผู้ชายขายตัว (Crow) 
เรื่อง : Worapapha

          แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ คงใช้ได้ดีกับผู้ชายคนนี้ “เกมส์” ชัยภักดี สุขศรีพันธ์ เด็กหนุ่มชาวอุบลราชธานีที่หนีความจนและความขี้เกียจ ไม่อยากทำนาจึงเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และอาชีพที่สบาย ได้เงินง่ายสำหรับผู้ชายไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็คงไม่พ้นอาชีพ “ขายตัว” เกมส์เลือกเส้นทางนั้นให้กับตัวเอง เขาเลือกที่จะขายตัวในบาร์เกย์ แต่แล้วชีวิตเหมือนฝันจากอดีตเด็กขายน้ำ มาวันนี้เขามีความสุขกับคู่ชีวิตที่เป็นถึงดอกเตอร์ และมีตำแหน่งเป็นถึงรองศาสตราจารย์

  เข้ามากรุงเทพฯ ครั้งแรก

          พอเรียนจบ เพื่อน ๆ ก็ชวนกันนั่งรถไฟจากอุบลฯ มาทำงานในกรุงเทพฯ ก็ไปสมัครงานแถว ๆ พรานนก แต่พอไปถึงมีความรู้สึกเหมือนกับว่าจะโดนหลอก คือเขาจะให้ไปทำงานในเรือ พอเขียนใบสมัครเสร็จ ผมกับเพื่อนสามคนก็พากันวิ่งหนีออกมา พอดีมีพี่ชายอยู่สระบุรีก็เลยไปหา และได้ทำงานเป็นแคชเชียร์อยู่ในร้านวัสดุก่อสร้าง ได้วันละแปดสิบบาท ทำอยู่ปีนึงก็ลาออก และกลับมาที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง มาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในคาเฟ่ รายได้ดีพอสมควร

  ประสบการณ์ครั้งแรก

          ตอนนั้นอายุประมาณสิบห้าสิบหก ยังเป็นวัยรุ่นหน้าตาดี ผิวก็ขาว และคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายปกติ เห็นผู้ชายก็รู้สึกเฉย ๆ มีคนมาชอบทั้งผู้หญิง กระเทย เกย์ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร ทีนี้ลูกชายเจ้าของร้านเขาเป็นแคชเชียร์ ทำงานให้พ่อตา แล้วเขาจะกินเหล้าทุกวัน พอเมาก็จะเรียกให้ผมไปส่งที่ห้อง ไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นเกย์ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาดูผมออกหรือยังไง แต่ตัวผมเองไม่รู้ตัวหรอก คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย พอส่งถึงห้องเขาก็ปล้ำผมเลย นี่คือครั้งแรก แต่เขาไม่ได้ปล้ำผมแบบเข้าถึงหรือร่วมเพศนะ แค่พยายามบังคับให้เราใช้ปากทำให้เขา แต่ผมก็แค่ใช้มือช่วย ตอนนั้นยังเป็นเด็กมีความรู้สึกกลัว ๆ อาย ๆ ยังไม่ค่อยกล้า พอหลัง ๆ มาชักบ่อย เริ่มบอกให้ผมสอดใส่ให้เขา ผมก็ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขา ไม่แข็ง ไม่รู้สึกอะไรเลย ผมไม่ชอบ สุดท้ายก็เลยหนีออกจากที่นั่นมาอยู่กับเพื่อน

  เข้าสู่อาชีพบาร์เกย์

          พอมาอยู่ที่นี่กับเพื่อนก็คิดอย่างเดียวว่าจะหาเงินยังไง และต้องใช้ชีวิตให้อยู่ได้ในกรุงเทพฯ เรียนจบแค่ ม.3 เพื่อนก็ชวนให้ไปทำงานบาร์เกย์ แล้วช่วงนั้นบาร์เกย์กำลังบูมมาก มีตั้งแต่สี่แยกประดิพัทธิ์ไปจนข้ามคูคลอง มันเยอะมาก แรก ๆ ก็ตะขิดตะขวงใจ รู้สึกว่าไม่ชอบ เราก็คิดว่าเราเป็นผู้ชายเต็มตัว เวลาลูกค้าเข้ามาที่ร้าน เขาจะถามคนที่เชียร์ว่า เราให้บริการให้ลูกค้าแบบไหน ผมจะบอกเสมอว่ารุกอย่างเดียวไม่รับ แล้วก่อนที่จะบริการให้ลูกค้า ผมต้องจินตนาการว่าตัวเองมีอะไรกับผู้หญิงก่อน 

          ตอนเข้าห้องไปก็ต้องพกหนังสือโป๊เข้าไปด้วย เลยไม่รู้ว่าเราเป็นเกย์รึเปล่า หรืออยู่ในช่วงปรับสภาพหรือเราแค่ต้องการเงิน สับสนตัวเองมาก ๆ แต่ก็คิดว่าถ้าเลิกทำงานบาร์เกย์แล้วจะไปทำอะไรล่ะ จะกลับบ้านไปทำนาเราก็ไม่ชอบ มันก็เหมือนเป็นความจำเป็นที่ต้องทำไปก่อน คิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำมาสี่ห้าปี ช่วงนั้นรายได้ดีนะ บางครั้งไปกับแขกสี่ครั้งต่อคืนก็มี เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่สองทุ่ม แต่บาร์เปิดประมาณสี่ทุ่ม คืนนึงก็แล้วแต่แขกจะเลือก ที่นี่เขาไม่บังคับ ผมเคยรับสูงสุดเต็มที่ก็ห้าคน เพราะคนที่ห้ามันก็สว่างแล้วครับ

  ทำงานและมีคนเลี้ยง จนมีเงินส่งไปสร้างบ้าน

          อยู่ที่นี่ผมถือว่าเป็นเบอร์หนึ่งเลยนะ ก็ทำให้มีเงินเก็บเยอะพอสมควร รายได้ต่อคนช่วงนั้นก็จะอยู่ที่ประมาณสองพันบาทต่อวัน แต่บางวันก็ได้สามสี่พันแล้วแต่ ส่วนทางร้านเขาจะได้รายได้จากการที่แขกออฟเราออกไปข้างนอกสองร้อยบาท และแขกจะให้เราต่างหากอีก ชั้นต่ำก็ห้าร้อยบาทถือว่าเยอะแล้วนะตอนนั้น พ.ศ. 2535 พอทำได้สักพักก็มีฝรั่งมาชอบ จะให้ไปอยู่กับเขาที่ออสเตรเลีย ผมก็บอกว่าไม่ไป พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แล้วผมรักเมืองไทย ไม่อยากจากไปอยู่ไหน ตัวเขาก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะมีครอบรัวอยู่ที่ประเทศเขา ทีนี้ก็เลยบอกว่าจะให้เงินผมก้อนหนึ่ง ไว้ซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อเวลาเขามาจะได้มาอยู่ด้วยกัน 

          เขาให้ผมมาเป็นล้านเลย เงินล้านสมัยนั้นเยอะมาก ผมก็ส่งเงินไปสร้างบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วซื้อรถกระบะให้พ่อคันหนึ่ง มันเป็นความภูมิใจของผมมาก ๆ โดยที่ทางบ้านไม่รู้หรอกว่าผมทำงานอะไร ก็บอกว่าได้งานดี เงินดี แล้วผมก็เช่าบ้านเป็นหลังอยู่ แต่บอกฝรั่งว่าเป็นบ้านที่ไอซื้อนะ เขาก็ไม่เคยตรวจสอบเรา ฝรั่งไม่จู้จี้ แต่เราต้องซื่อสัตย์แค่นั้นเอง เขาส่งเงินมาให้ตลอด ครั้งหนึ่งก็สอหมื่นสามหมื่น พอเขากลับไปผมก็ทำงานตามปกติ

  เริ่มคิดได้และรู้สึกอาย เลยหนีจากชีวิตคนกลางคืน

          ตอนนั้นดีใจมีเงินเข้ามาทุกเดือน ๆ ผมก็ทำงานไปด้วย แต่จู่ ๆ เขาเงียบไป ไม่ติดต่อมาและไม่ส่งเงินมาด้วย ทำให้คิดหนักเลย เราจะอยู่ยังไงหรือจะทำงานขายบริการนี้ไปตลอดชีวิต เครียดมาก ประกอบกับที่ผมเริ่มโตด้วย อายุยี่สิบห้าแล้ว รู้สึกว่าเวลาเดินไปไหนเริ่มมีคนมองตาม คงสงสัยว่าไอ้นี่ทำงานห้างหรือทำงานบริษัท เพราะเราแต่งตัวดูดี แต่พอเดินเข้าบาร์เกย์เขาก็ทำท่ายี้ หรือเบะปากใส่เรา จากที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดไม่เคยรู้สึกอะไร แต่พอโตขึ้นมันรู้สึกอายขึ้นมา ก็เลยไปสมัครเป็นพนักงานขายของที่ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แถวรังสิต 

          ผมได้เป็นพนักงานขายรองเท้ายี่ห้อหนึ่ง ก็บอกเพื่อนแล้วแยกตัวออกมาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ต่างหาก แต่ก็ยังพักแถว ๆ สะพานควาย ผมตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า นั่งรถจากสะพานควายไปรังสิต กลับสี่ทุ่มห้าทุ่มทุกวันก็ทำได้ เพราะงานไม่หนักอยู่ในห้างมันเย็นสบายไม่ต้องตากแดดร้อน ๆ เราแค่จัดเรียงสินค้าให้เสร็จให้ดูดีก่อนห้างเปิด ขายของในห้างไม่ต้องยืนเชียร์อะไรมากมายก็มีคนมาซื้ออยู่แล้ว รู้สึกว่าทำได้ไม่ลำบากมีความสุขดี และผมเป็นพนักงานที่ขยันที่สุด เข้าออกงานตรงเวลา ทำโอทีวันละสองสามชั่วโมง รายได้ประมาณเดือนละหมื่นกว่าบาท

  กลับไปสู่เส้นทางเดิม

          อยู่ในห้างเวลาเจอผู้ชายก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ แต่ที่นี่ก็มีทั้งกระเทย เกย์ และผู้หญิงที่มาชอบผม เวลาไปกินไปเที่ยวเสร็จก็มีเซ็กซ์กัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ผูกพันกัน พอหลัง ๆ ผมติดเพื่อน สี่ทุ่มปุ๊บบางทียังไม่กลับบ้านหรอก แวะไปผับไปเที่ยว ติดเหล้าติดเพื่อนมาก ขาดงานบ่อย ก็เลยตัดสินใจลาออก แล้วก็กลับเข้าไปในวงจรบาร์เกย์อีก พอกลับไปทำครั้งนี้ ก็ยังรู้สึกอายอยู่ แต่ว่ามันว่างงาน ไม่รู้จะทำอะไร ทำได้เดือนกว่า ๆ เอง เพราะมันไม่สนุกเหมือนแต่ก่อนแล้ว พอออกจากบาร์ครั้งที่สองผมก็ไม่ได้ทำอะไร อาศัยที่เราพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าไม่ทำงานแล้วกูจะทำยังไงวะ จะกลับบ้านก็ขี้เกียจทำนา ติดความสบายแล้วไง 

          ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าไปไหนทำอะไรก็ได้ขอแค่อย่างว่าง กลัวเงินจะหมด ก็พอดีตอนนั้นมีคนที่ชอบผมมาชวนไปอยู่พิษณุโลกด้วย ไปช่วยเขาทำห้องเช่า เขาเป็นลูกเจ้าของโรงแรม ก็เลยตกลงมาอยู่กับเขา ผมช่วยเขาทำงานและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่บางทีก็เบื่อ สองสามเดือนเข้ากรุงเทพฯ ทีเขาทนผมไม่ไหว ก็เลยมีคนใหม่ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะผมไม่ได้รักอยู่แล้ว มาอยู่กับเขาเพราะไม่มีที่ไป คิดว่ามาอยู่ด้วยกันแบบเพื่อน

  ที่นี่ทำให้พบคนที่ใช่

          วันหนึ่งผมเบื่อ ๆ ก็เลยไปเที่ยวผับ จึงได้มาเจอกับแฟนคนปัจจุบัน เขาเข้ามาคุยด้วยและขอเบอร์ผม หลังจากนั้นเขาโทรมาคุยด้วยทุกวัน ก็เลยตกลงคบกัน ตอนนั้นผมรู้แค่ว่าเขาเป็นอาจารย์ คบกันสักพักเขาก็ชวนผมมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เขาเพิ่งซื้อบ้าน ก็เลยเหมือนมาเริ่มต้นชีวิตใหม่พร้อม ๆ กัน ผมมาช่วยเขาซื้อของเข้าบ้าน ช่วยตกแต่งบ้านด้วยกัน ดูแลบ้าน ดูแลเขาทุกอย่าง เหมือนผมมาเป็นแม่บ้านให้กับเขาพอมาใช้ชีวิตด้วยกันผมถึงรู้ว่าเขากำลังเรียนปริญญาเอก ใกล้จบ จะเป็นดอกเตอร์แล้ว 

          แต่ก่อนนั้นไม่มีใครดูแล เขาก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบเต็มที่กับชีวิตโสด ไม่ค่อยสนใจดูแลตัวเองก็เหมือนผมที่ไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ลอยไปลอยมา เบื่อที่นี่ก็ไปที่โน่น ทั้งที่อายุก็มากแล้ว แต่หลังจากที่มาอยู่ด้วยกันต่างก็หยุดเที่ยวหยุดทุกอย่างเพื่อชีวิตคู่ของเรา ซึ่งมีผลทำให้เขาตั้งใจในการทำงานมากขึ้น เหมือนมีเป้าหมายในชีวิตส่งผลทำให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองศาสตราจารย์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก

  ชีวิตเหมือนฝัน

          ก็คิดว่าตัวเองโชคดีมาก อดีตของผมที่ผ่านมาเขารู้ทุกอย่าง และไม่เคยรังเกียจหรือดูถูกผมเลย เขาดีกับผมมาก เป็นเหมือนผู้ให้ชีวิตใหม่กับผมเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบเปิดเผยเพียงแต่ไม่ไปป่าวประกาศบอกใครว่าเราเป็นอะไรกัน เพราะเขามีคุณวุฒิทางสังคมสูง ถึงแม้ว่าสังคมปัจจุบันจะเปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้ แต่ผมคิดว่าอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็คงดูออกเพราะเวลาไปไหนก็ไปด้วยกันตามปกติ กินข้าวนอกบ้าน ดูหนังทุกสัปดาห์ ใช้ชีวิตเหมือนคู่ทั่วไป ทางบ้านเขาก็รับผมได้ 

          นับจากวันนั้นถึงวันนี้แปดปีแล้วนะ ถือว่านานพอสมควร เราไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง จะมีก็แค่เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเขาจะเป็นคนไม่จู้จี้ จุกจิก อาจจะเพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย อายุเราห่างกันสิบห้าปี เวลาผมไปเที่ยวก็จะบอกเขาว่าไปกับเพื่อน เขาไม่เคยว่าอะไร ผมเมากลับมาเขาก็หาข้าวไว้ให้กิน เหมือนต่างคนต่างดูแลกัน อยู่เป็นเพื่อนกันอายุมากกันแล้ว และเขาก็กลัวผมเหงาไม่อยากให้ผมเบื่อที่จะต้องอยู่บ้านเฉย ๆ ก็เลยเปิดร้านขายตันไม้และเพาะพันธ์สุนัขขาย ส่งเสริมให้ผมเรียนต่อ เพื่อจะทำให้ฝันของผมเป็นจริง 

          มันเป็นความฝันอันสูงสุดว่าจะต้องจบปริญญาตรีให้ได้ เวลาว่างจากงานสอน เขาก็จะมาช่วยผมที่ร้านแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว และจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าบางครั้งผมก็คิดว่าชีวิตผมเหมือนฝันจริง ๆ จากเด็กที่ขายบริการมาก่อน ท้ายสุดผมกลับมีชีวิตที่ดีที่มั่นคง นั่นคงเป็นเพราะผมกตัญญูต่อพ่อแม่ไม่เคยละทิ้งท่าน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กลับไปหาท่าน แต่ผมก็ส่งเงินให้ท่านตลอด จึงส่งผลให้ผมมีทุกอย่างในวันนี้

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

 

 

ซ้ำขออภัยค่ะ

ที่มา: http://men.kapook.com/view39154.html
3 ม.ค. 57 เวลา 08:24 4,672 1 100
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...