ตำนานลานประหารดั้งเดิมในประเทศไทย

ใต้ผืนแผ่นดินอันเป็นที่อยู่อาศัยของเราทุกวันนี้...หากจะย้อนกาลเวลากลับไปในอดีต จะพบว่า...เกือบทุกตารางนิ้วคือสถานที่ทับถมร่างแห่งบรรพชนเอาไว้ทั้งสิ้น...ดังเรื่องราวของการสำเร็จโทษตามกฏมณเฑียรบาลสยาม ณ ยุคเก่าก่อน...ซึ่งมักจะมีการใช้ลานกว้างของพระอารามต่างๆ ทั้งในพระนครและหัวเมือง เป็นแดนปลิดชีพผู้ซึ่งได้ชื่อว่าทำผิดอาญาบ้านเมือง

วัดที่จะนำเสนอต่อไปนี้...ในสมัยต้นและกลางกรุงรัตนโกสินทร์ คือสถานที่ประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาด เราไปเริ่มกันที่วั ดปทุมคงคา...หรือปัจจุบันเรียกว่า วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ตั้งอยู่บริเวณหลังโรงหนังโอเดี้ยน แถวๆ ทรงวาด กันดีกว่า...


สำหรับวัดปทุมคงคาแห่งนี้...มีปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชพงศาวดารสมัยรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกเอาไว้ว่า...

เป็นสถานที่สำเร็จโทษ กรมหลวงรักษรณเรศร ( หม่อมไกรสร ) และประหารชีวิตบ่าวไพร่ของหม่อมไกรสรอีก 7 คน โทษฐานคิดก่อการกบฏ...โดยการสำเร็จโทษนั้น ได้นำตัวกรมหลวงรักษรณเรศร มาทุบด้วยท่อนจันทน์ บนแท่นหินที่มีขนาดกว้าง 48 นิ้ว ยาว 60 นิ้ว หนาประมาณ 12 นิ้ว ซึ่งบันทึกในพงศาวดารระบุถึงพฤติกรรมของหม่อมไกรสรว่า...



"...มักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เราจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดฯ ให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียกว่าหม่อมไกรสร...ลงพระราชอาญาแล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม 3 ค่ำ..."



มีการยืนยันจากนักวิชาการ...ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์กรุงเทพมหานครว่า วัดปทุมคงคา น่าจะเป็นสถานที่ประหารชีวิตแห่งแรกที่เป็นวัดในมหานครแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้แท่นหินสำเร็จโทษ...ยังคงเก็บรักษาอยู่ที่ศาลกรมหลวงรักษรณเรศรภายในบริเวณวัด ส่วนบ่าวไพร่ของหม่อมไกรสรอีก 3 คน นั้น ว่ากันว่า...ถูกตัดหัวที่ลานวัดแห่งนี้เช่นกัน



ในขณะที่...อีก 4 คนถูกนำตัวไปตัดหัวที่วัดแห่งหนึ่งในย่านสำเหร่ ซึ่งท่านผู้รู้บอกว่า น่าจะเป็นวัดโคกขี้แร้ง หรือที่เรียกกันว่า วัดสันติธรรมาราม...ตั้งอยู่หลังสถานีตำรวจนครบาลบุคคโล ริมถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ฝั่งธนบุรีในปัจจุบัน

ตามข้อมูลเดิมระบุว่า...วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่งมาร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ในสมัยนั้นเป็นวัดกลางไร่กลางสวนที่เปล่าเปลี่ยว วังเวง



ว่ากันว่า...ในบริเวณวัดแห่งนี้ สมัยก่อนมีต้นอโศกเก่าแก่กว่า 100 ปีอยู่หนึ่งต้น และเป็นปลายทางของหลายชีวิตที่หาทางออกไม่ได้...ก็จะมาปีนต้นอโศกต้นนี้เพื่อผูกคอตาย ศพแล้วศพเล่า...จนเป็นที่ร่ำลือถึงความเฮี้ยน และแน่นอน...ใต้ร่มเงาต้นอโศกต้นนี้คือสถานที่ประหารชีวิตบ่าวไพร่ของหม่อมไกรสรด้วย


เมื่อเฮี้ยนมากๆ เข้า...ชาวบ้านก็หวาดกลัว เมื่อปี 2495 เลยทำให้มีการรวมตัวของชาวบ้านเพื่อโค่นต้นอโศกโบราณต้นนี้...แล้วร่วมใจกันสร้างวิหารเล็กๆ ทับไว้ที่โค่นต้น เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณร้ายต่างๆ โดยมีการนำพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่ชาวบ้านและพระในวัดช่วยกันปั้นขึ้นมาจากเศษพระพุทธรูปที่แตกหักอยู่ในบริเวณวัดเดิม...เรียกกันต่อมาว่า หลวงพ่อขาว มาประดิษฐานเอาไว้


ไม่ไกลจากวัดปทุมคงคามากนัก...เราแวะไปที่วัดพลับพลาไชย ในย่านเยาวราช แต่เดิมวัดแห่งนี้เรียกกันว่า วัดโคก และลานวัดแห่งนี้...ก็เคยถูกใช้เป็นลานประหารชีวิตเช่นกัน ตามข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในสมัยรัชกาลที่ 5 บันทึกเอาไว้ว่า...มีการประหารชีวิตที่วัดโคกอยู่เป็นประจำ ดังตัวอย่างต่อไปนี้



".....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการทั่วพระราชอาณาจักร...ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ผู้สำเร็จราชการในพระราชอาณาจักร ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย
ผู้สำเร็จราชการในกรมมหาดไทย...ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ ผู้สำเร็จราชการในกรมพระกลาโหม เจ้าพระยายมราช พระยาเพ็ชรปราณี พระยาเพ็ชรดา...พระยาราชรองเมือง ลูกขุน...ณ ศาลา พระครูปโรหิตตาจารย์ พระครูมเหทร พระยามนูศารสาตร์ ขุนหลวงพระไกรศรี ลูกขุน ( ณ ศาลาหลวง )



พร้อมนำข้อความ...อ้ายด้วงฉุดลูกสาว ฆ่าอ้ายเย็นเพื่อนตาย ที่แขวงเมืองนนท์ฯ อ้ายจีนเห่า อ้ายจีนเขาฮี อ้ายจีนฮุย คุมสมรรคพรรคพวกเข้าปล้นฆ่าเจ้าเรือน เก็บเอาทรัพย์สิ่งของเงินทอง...ชำระเป็นสัตย์คือ อ้ายจีนเห่า อ้ายจีน เขาฮี อ้ายจีนฮุย คุมคนเป็นนาย...ท่านเสนาบดีข้าราชการปรึกษาพร้อมกัน ให้เอาอ้ายด้วงกับอ้ายจีนทั้ง 3 คน ลงพระราชอาญาเฆี่ยนสามยก 90 ที โปรดให้นำตัวไปประหารชีวิตที่วัดพลับพลาไชย...."


ซึ่งมีการระบุว่า...บริเวณลานประหารชีวิต น่าจะเป็นลานดินหน้าศาลาตั้งศพ ซึ่งเดิมศาลาตั้งศพนี้จะเป็นศาลาไม้ แต่ต่อมาได้มีการบูรณะและพัฒนาวัดให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น ศาลาไม้จึงถูกรื้อทิ้งไป...แล้วสร้างศาลาตั้งศพใหม่ขึ้นมาเป็นศาลาก่ออิฐถือปูนมั่นคงแข็งแรง เรียกว่า ศาลาพิพัฒน์ไพศาล ส่วนลานดินด้านหน้า ก็มีการลาดปูนเพื่อเป็นลานจอดรถ


จากเดิมที่เป็นวัดเล็กๆ...มีเพียงโบส์เก่าๆ และศาลาตั้งศพกับกุฏิพระไม่กี่หลัง ปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไป ในวัดแน่นขนัดไปด้วยสร้างปลูกสร้าง และในย่านนั้นก็มีความเจริญ ผู้คนพลุกพล่าน...ไม่มีภาพของความน่ากลัวแห่งลานประหารชีวิต หลงเหลืออยู่อีกแล้ว


วัดอีกแห่งหนึ่ง...ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการถูกใช้เป็นสถานที่ส่งวิญญาณของนักโทษประหาร คือ ลานวัดมักกะสัน ( วัดมักกะสัญ ) หรือ วัดดิสหงสาราม...ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ ใกล้กับประตูน้ำปทุมวัน หลายต่อหลายรายซึ่งในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ระบุว่า...ในสมัยรัชกาลที่ 4 วัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ประหารชีวิต ขุนสุวรรณกับเจ้าจอมมารดาช้อย ด้วยเช่นกัน


ซึ่งกรณีนี้...ในพระราชพงศาวดารบันทึกว่า เกิดขึ้นมาจากที่มีการส่งหนังสือไม่ระบุนามผู้ส่ง หรือที่เรียกว่า บัตรสนเท่ห์ ฟ้องลูกขุนว่า ทางขุนสุวรรณ หรือ เขียน บุตรชายของพระยาราชภัคดี บังอาจใช้ภรรยาของตน ที่ชื่อกุหลาบ...ให้ไปพูดจาแทะโลมเกี้ยวพาราสี เจ้าจอมมารดาช้อย บุตรพระยาบำเรอภัคดี ปรากฏว่า...เจ้าจอมมารดาช้อยมีใจให้เสียด้วย ทำให้ทั้งสองลอบติดต่อกัน แอบส่งของให้กันอยู่เป็นประจำ โดยมีภรรยาของขุนสุวรรณรู้เห็นเป็นใจ...ทางคณะลูกขุนและตุลาการ ตรวจสอบชำระความแล้วพบว่า เป็นเรื่องจริง จึงมีการตัดสินความ...และปรากฏว่าโทษถึงขั้นประหารชีวิต


"....ให้เอาอ้ายเขียนและอีกุหลาบไปประหารชีวิตที่วัดมักกะสัน ณ วันจันทร์ เดือน 7 แรม 12 ค่ำ.."


และยังมีการประหารอีกหลายคดีอย่างต่อเนื่อง...เรียกว่าหมุนเวียนกันไปใช้บริการลานวัดต่างๆ ตามแต่จะเห็นสมควร...และแน่นอนว่า พระสงฆ์ในวัดนั้นเองก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านทัดทาน เพราะเป็นพระบรมราชโองการฯ

สำหรับบริเวณลานวัดมักกะสัน...ที่เคยใช้เป็นสถานที่ประหารชีวิตนั้น ปัจจุบันมีการสร้างเป็นโรงเรียนคือโรงเรียนวัดดิสหงสาราม ได้แก่บริเวณที่ก่อสร้างเป็นอาคาร 2 ส่วนจุดที่เป็นลานประหารจริงๆ ที่ตัดฉับเดียวหัวขาดกระเด็นนั้นคือ...ลานสนามหน้าอาคารเรียนหลังดังกล่าวนั่นเอง!!

4 เม.ย. 53 เวลา 20:05 13,321 37 4,122
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...