Kamikaze : ตำนานแห่งฝูงบินมรณะ

 

ทุกวันนี้ในดินแดนที่มีความขัดแย้ง เรามักจะได้ยินข่าวการก่อ

วินาศกรรมระเบิดที่โน่น ระเบิดที่นี่ โดยผู้ก่อการยอมสละชีวิต

ของตนเองไปพร้อมกับการระเบิด ทำให้เป็นที่ฮือฮาและหวาด

หวั่นสำหรับชาวบ้านทั่วไป ที่จริงแล้วการพลีชีพมิใช่ของใหม่

แต่โด่งดังมาตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2  นั่นคือเรื่องราว

อันเป็นตำนานของนักบินเลือดบูชิโด ซึ่งได้รับการขนานนาม

ว่า กามิกาเซ่ (KAMI KAZE)

  

 

กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะและ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ 

 

ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย

 

คำว่า "กามิกาเซ่" มาจากคำสองคำต่อกัน คือ kami หมายถึง พระเจ้า (god) และ kaze หมายถึง ลม (wind) รวมกันมีความหมายว่า ลมแห่งสวรรค์ หรือ divine wind ในภาษาอังกฤษและยังหมายถึงลมสลาตัน ( typhoon) ซึ่งช่วยให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากการรุกรานจากกองทัพมองโกลภายใต้การนำของกุบไลข่าน เมื่อปี 1281 อย่างไรก็ตาม คำว่ากามิกาเซ่ในภาษาญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เรียกลมสลาตัน และนำมาใช้เป็นชื่อฝูงบินและนักบินกามิกาเซ่ เท่านั้น

 

 

หลังจาก ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพสหรัฐฯที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ จนเสียหายยับเยินในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 และเข้ายึดครองหมู่เกาะของฟิลิปปินส์ จนนายพล แม็คอาร์เธอร์ ต้องเตลิดหนีไป แต่ก่อนไปได้ฝากวาจาอมตะไว้ว่า 

 

"ข้าจะกลับมา" (I SHALL RETURN)

 

 

ครั้นแล้วทัพของสหรัฐฯ ก็เริ่มตอบโต้ญี่ปุ่น - การยุทธครั้งสำคัญ ที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ มีขึ้นที่เกาะ มิดเวย์ (MIDWAY) ซึ่งอยู่ห่างจากฮาวาย 1,000 ไมล์ เป็นยุทธภูมิที่แม่ทัพ อิโซโรกู ยามามาโต ของญี่ปุ่น หมายยึดไว้เป็นฐานทัพสำหรับ บุกขึ้นฝั่งแคลิฟอร์เนียของอเมริกันต่อไป ซึ่งสหรัฐฯ ก็ยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด และผู้บัญชาการรบ ของฝ่ายสัมพันธมิตรในศึกนี้ก็คือ นายพล เชสเตอร์ ดับเบิลยู. นิมิตซ์ 

 

ทั้งสองฝ่ายทุ่มเทกำลังทั้งทางอากาศ และทางน้ำเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แต่แรกนั้นทางฝ่ายญี่ปุ่นทำท่าว่า จะกำชัยชนะไว้ในมือ หากทว่าโชคช่วยฝ่ายสหรัฐฯ ที่ฝูงบินทิ้งระเบิดสามารถ พบกองเรือบรรทุกเครื่องบินของญี่ปุ่น ในจังหวะที่กำลังเติมน้ำมันให้ฝูงบิน สำหรับออกรบในระลอกสอง สถานการณ์จึงพลิกกลับตรงกันข้าม

 

 

และศึกมิดเวย์ที่เปิดฉากในวันที่ 4 มิถุนายน 1942 นี้ ก็ยุติลงภายในเวลาแค่สองวัน ญี่ปุ่นสูญเสียเรือบรรทุกเครื่องบิน 4 ลำ เครื่องบินรบ 322 ลำ และทหาร 3,500 นาย ซึ่งรวมทั้งนักบินฝีมือดีจำนวนมาก นับเป็นครั้งแรกในสงครามที่ญี่ปุ่นต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ และต้องรีบปรับกลยุทธ์ใหม่ทันทีเพื่อรับมือกับการบุกของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องถอยร่น และถอนกำลังจากเกาะต่างๆ ที่เคยยึดครอง 

 

ตลอดช่วงปี 1942 - 1943 ทัพของสหรัฐฯ เคลื่อนกำลังเข้า

ใกล้กรุงโตเกียวขึ้นทุกที - ญี่ปุ่นสู้สุดกำลังแบบสุนัขจนตรอก แม้กระทั่งนำเอาเหล็กจากซากเรือรบยามาโต ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ภาคภูมิใจมาใช้สำหรับสร้างเครื่องบินรบ แต่การขาดแคลนเครื่องบินนั้นไม่ใช่ปัญหาเดียว การผลิตนักบินที่เชี่ยวชาญขึ้นมาแทนก็ยังไม่อาจทำได้ทันกาลอีกด้วย อีกทั้งประสิทธิภาพขอเครื่องบินซีโร ที่มิตซูบิชิสร้างซึ่งแต่แรกเคยครอบครองน่านฟ้าไว้ได้นั้น มาถึงบัดนี้ก็ตกเป็นรองเครื่องบินรุ่นใหม่ของสหรัฐฯ ที่ทั้งบินได้สูงกว่าและเร็วกว่า

 

 

เหล่าเสนาธิการทหารของญี่ปุ่นต้องประชุมเร่งระดมความคิดในการตั้งรับการบุกของสัมพันธมิตร และผู้ที่มีความเห็นโดดเด่นกว่าใครอื่นก็คือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ นายพล ทากิจิโร โอนิชิ 

 

โดยต่างจากสมัยนี้ที่การยิงจรวดหรือทิ้งระเบิดจะมีอุปกรณ์นำวิถีที่ช่วยให้ปฏิบัติการได้อย่างแม่นยำ แต่ในครั้งกระโน้นการโจมตีทิ้งระเบิดหรือปล่อยตอร์ปิโดต้องอาศัยโชคช่วยให้ถูกเป้าหมาย ซึ่งข้อนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับฝ่ายสัมพันธมิตรเพราะ มีอาวุธเหลือเฟือถล่มแบบปูพรมได้ แต่ญี่ปุ่นต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างประหยัด ระเบิดทุกลูกจะต้องถูกเป้าหมายอย่างได้ผล จะใช้การนำวิถีอย่างไรจึงจะแม่นยำถึงปานนั้น

 

และแล้วก็มีมติออกมาว่า หนึ่งเรือบิน : หนึ่งเรือรบ - ถล่มเรือรบข้าศึกด้วยเครื่องบิน ที่พลขับต้องพลีชีพไปด้วยเสียเลย!!! แต่จะได้ผลจริงหรือไม่ต้องทดสอบดูก่อน

 

ผู้อาสาทดสอบคือ พลเรือตรี มาซาฟูมิ อาริมา และเป้าหมายได้แก่ เรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส แฟรงกลิน เมื่ออาริมาบินจู่โจมตรงรี่เข้ามานั้น บรรดาลูกเรือแฟรงกลินต่างก็จ้องมองอย่างฉงนใจที่เห็นเครื่องบินข้าศึกใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา พวกเขาคิดว่านักบินเสียชีวิตและไร้ผู้ควบคุมการบินหรือไร จึงดูเหมือนตั้งใจพุ่งเข้ามาหาเรืออย่างนั้น จนกระทั่งอาริมาพุ่งดิ่งโครมลงบนดาดฟ้าและเกิดการระเบิดกัมปนาทกลางลำเรือแฟรงกลิน 

 

 

 

วันนั้นเป็นวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1944 คามิคาเซ่อันเป็นชื่อเทพเจ้าแห่งพายุที่เคยพัดกระหน่ำขับไล่ศัตรูของญี่ปุ่นมาหลายครา บัดนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในรูปของนักบินผู้สละชีพ และนับจากนี้ไปอีก 10 เดือน พายุคามิคาเซ่นี้ ก็จะกระหน่ำเข้าใส่กองทัพของสหรัฐฯ อย่างไม่หยุดยั้งสร้างความเสียหายให้อย่างเหลือคณานับ 

 

 

กองบินคามิคาเซ่หมู่แรกจุติขึ้นในเดือนตุลาคมนั้นเอง ณ ฐานทัพคลาร์คแอร์เบสบนเกาะของฟิลิปปินส์ที่ญี่ปุ่นยังครองอยู่ โอนิชิเรียกระดมอาสาสมัครชุดแรกที่ยังเป็นโสดไร้ลูกเมีย

 

บัดนี้ประเทศญี่ปุ่นของท่านตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ข้าพเจ้าในฐานะตัวแทนของพี่น้องนับร้อยล้านของท่าน ขอให้ท่าน ยอมสละชีพและอธิษฐานเพื่อความสำเร็จ...

 

 

ทหารที่เข้าประชุมทั้งหมด ล้วนอาสาสมัครในทันที! - ปฏิบัติการฝูงบินคามิคาเซ่หนแรก เริ่มขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม ในการศึก ณ อ่าวเลย์เต สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้แก่เหล่านักรบอเมริกันอย่างยิ่ง แรกนั้นพวกเขานึกว่าเครื่องบินข้าศึก เครื่องยนต์ขัดข้อง แต่เมื่อการบินโจมตีอย่างไม่คำนึงถึงชีวิตเพิ่มขึ้นทุกขณะ พวกเขาจึงเริ่มตระหนักว่า ได้เผชิญกับสิ่งใด

 

มันบินใกล้เสียจนผมเห็นหมวก และแว่นของนักบินถนัดตา? ทหารคนหนึ่งบนเรือรบยูเอสเอสปรินซตันเล่า เมื่อนายพลนิมิตซ์ได้รับรายงานถึงอาวุธลับมหาประลัยของญี่ปุ่น ก็ทำเอาเขานิ่งงัน? ผมจะบอกกับแม่และเมียของทหารเราที่เฝ้ารอคอยอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร ว่าข้าศึกมีอาวุธร้ายแรงชนิดใหม่จะทำให้พวกเขาหวาดหวั่นจนนอนไม่หลับหรือ?

 

 

แต่ทางฝ่ายครอบครัวของนักบินคามิคาเซ่นั้น กลับยินดีและชื่นชมในความตายของทหารหาญ มารดาคนหนึ่งเขียนถึงลูกที่สละชีพไปแล้ว "เจ้าเป็นลูกของข้า แต่บัดนี้เจ้าก็มิใช่ลูกข้าอีกต่อไป... เจ้าเป็นลูกของพระจักรพรรดิ"

 

 

ยุทธวิธีในการโจมตีของฝูงบินคามิคาเซ่มีอยู่ 2 แบบ

 

แบบแรก บินต่ำเรี่ยคลื่นเพื่อหลบเรดาร์ พอใกล้เรือข้าศึกก็เชิดหัวโผนขึ้นเพื่อเร่งความเร็ว แล้วพุ่งเข้าชนนี่เป็นยุทธวิธีที่นายพลโอนิชิเสนอแนะ 

 

แบบสอง เหล่านักบินผู้กล้าคิดขึ้นเอง นั่นคือในยามที่มีเมฆบังเกลื่อนฟ้าพวกเขา จะบินขึ้นในระดับสูงสุด เมื่อมองเห็นกองเรือข้าศึกอยู่ในสายตาก็จะพลันโฉบลงมาในแนวดิ่ง เป้าหมายที่พวกเขาชอบเล็งก็คือยอดปล่องลิฟต์กลางเรือ ซึ่งจะก่อความพินาศได้อย่างมหาศาล

 

 

ฝ่ายกองเรือรบของอเมริกันนั้นกว่าจะรู้ตัวเครื่องบินของญี่ปุ่นก็เกือบถึงเรือแล้ว ได้แต่ตาลีตาเหลือกรีบยิงต่อต้าน ปืนทุกกระบอกปล่อยกระสุนออกไปอย่างแทบไม่ต้องเล็ง และเนื่องจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ นั้นใช้แผ่นไม้กระดานปู ดังนั้นแม้โดนระเบิดเบาๆ ก็ถล่มทลายทำให้เรือบินที่จอดเรียงรายอยู่พลอยพังพินาศไปด้วย 

 

 

จวบจนถึงเดือนมกราคม 1945 เรือรบอเมริกันราว 100 ลำ ต้องจมหรือเสียหายยับเยิน ซึ่งมีทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือประจัญบาน ทหารกว่า 4,000 คน ตายหรือบาดเจ็บ ทั้งหมดนี้เกิดจากการโจมตีของฝูงบินคามิคาเซ่ 400 ลำ

 

 

ถึงจะต่อสู้แบบยอมตายถวายชีวิต อย่างไรก็ตามในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ก็มีพระราชโองการจากพระจักรพรรดิให้ยุติการต่อสู้ นายพลโอนิชิ บิดาแห่งฝูงบินคามิคาเซ่กระทำ ฮาราคีรี ตายตามลูกน้องที่สละชีวิตไปล่วงหน้าแล้ว การพลีชีพเพื่อปกปักเอกราชของชาติเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาของนักรบผู้กล้า ความตายนั้นเป็นสิ่งเบาบางดุจขนนก... นั่นคือคำตรัสของจักรพรรดิเมยจิในราว ค.ศ. 1880

 

 

"พวกเขานั้นคือวีรบุรษโดยแท้"

 

 

แต่ผู้ก่อการร้ายทุกวันนี้ที่พลีชีพไปพร้อมกับระเบิด ได้คร่าชีวิตของ

 

ชาวบ้านและลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปมากมายอย่างโหด

 

เหี้ยม เราเรียกพวกเขาได้อย่างเดียวว่า ฆาตกร

 

**********************************

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...