"บิ๊กตู่" ณ ตำบลกระสุนตก จากศึก ผู้จัดการ "เปล่าครับนาย" ถึง ศึกพระวิหาร "รบเป็นรบ"

เหมือนจะยังไม่อยากให้ความขัดแย้งระหว่าง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กับหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการ ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จบลงง่ายๆ ด้วยคำว่า ขอโทษ จากปาก ผบ.ทบ.

เหตุยิงรถข่าว เอเอสทีวี ผู้จัดการ จึงเกิดขึ้น เมื่อใกล้เช้ามืด 26 มกราคม ที่ผ่านมา โดยกระสุนยังเข้าไปโดนตัวอาคาร จนกระจกแตกอีกด้วย

แน่นอนว่า ทหารจะต้องเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง เพราะแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะขอโทษแล้ว แต่การหยาม ผบ.ทบ. ด้วยวาจาที่รุนแรง ของผู้จัดการ และนายสนธิ นั้น ยังคาใจ แถมยังมีทหารที่อารมณ์ค้างอยู่ไม่น้อย ที่อาจปฏิบัติการนอกสั่ง แต่กลายเป็นเรื่องเม้าธ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ ซุบซิบกันในกองทัพไปต่างๆ นานา

"ทหารไม่เกี่ยว" พล.อ.ประยุทธ์ แจงในประโยคแรก

"ผมไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้อยู่แล้ว และเป็นเรื่องผิดกฎหมาย" ผบ.ทบ. สำทับ

ไม่ว่าจะเป็นพวกนอกสั่ง หรือนอกแถว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้อง

แต่หลังฉาก บิ๊กๆ ทบ. มีการไถ่ถาม ตรวจสอบกันว่า มีใครกระซิบ หรือไปทำนอกสั่งหรือไม่ แต่ก็ได้แต่เสียงปฏิเสธ "ผมเปล่า ครับนาย" จากนายทหารที่อยู่ในข่ายจะทำได้ และใจถึงพอที่จะทำ เพื่อเป็นสงครามสั่งสอน

พร้อมการวิเคราะห์ที่เชื่อว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ ทั้งจาก ฝ่ายผู้จัดการ เอง ที่ต้องการปลุกกระแส ทั้งความนิยมต่อตนเอง และกระแสเขาพระวิหาร หรือทั้งจาก มือที่สาม ที่ต้องการให้กองทัพกับผู้จัดการ ซึ่งรวมถึงนายสนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ แตกแยกกันให้ขาด

แต่แน่นอนว่า อีกฝ่ายหนึ่งย่อมสงสัยได้ว่า เป็นฝีมือทหาร เพียงแต่ว่า เป็นคนของใคร หรือใครสั่ง



อย่างไรก็ตาม ด้วยเกมการเมือง ทำให้ต้องพุ่งไปที่มือที่สาม ที่ต้องการเสี้ยมให้ทหารกับผู้จัดการ ซึ่งหมายถึง นายสนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ แตกหักกัน จนเป็นที่มาของการโยนให้เป็นฝีมือของ "ไอ้ปื๊ด" แต่ความคลางแคลงใจว่าจะเป็นทหารก็อาจยังคงมีอยู่บ้าง

ด้วยเพราะเมื่อหลายปีก่อน บ้านพักของนายสนธิ กลางกรุงเทพฯ จะเคยถูกยิงมาแล้ว และหลายปัญหา ที่ทำให้นายสนธิ ไม่ค่อยอยู่ประเทศไทยก็ตาม

แม้ว่าฝ่ายผู้จัดการ จะให้น้ำหนักไปทางอื่น แต่กระนั้น ปฏิบัติการยิงผู้จัดการครั้งนี้ หากเป็นฝีมือทหาร หรือนายสั่ง ไม่ว่าจะเป็น "นาย" ระดับไหนก็ตาม ก็ดูจะเป็นการหวังดีประสงค์ร้าย ต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าที่จะแก้แค้น หรือเจ็บแค้นแทนนาย

แม้ว่า คนสั่ง อาจจะแค่อยากสั่งสอน ไม่ให้สื่อนี้ล่วงเกิน ผบ.ทบ. อีก หรืออาจแค่ทหารตัวเล็กๆ ที่เจ็บแทนนาย ทำเองเป็นการส่วนตัว เพราะไม่ได้ยิงถล่ม แบบสาดกระสุนใส่นับร้อย

แต่พร้อมๆ กันนั้นเอง ฝ่ายทหาร จึงสงสัยว่า อาจสร้างสถานการณ์ เรียกเรตติ้ง กันเอง เพราะเป็นการยิงที่ไม่ได้หวังให้เสียหายอะไรมากมาย หรือประสงค์จะทำร้ายใคร

แต่ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งเช่นนั้น

ที่แน่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รู้แล้วว่า เมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ และรู้ด้วยว่า เขากำลังกลายเป็นเป้าโจมตี เป้าหมายทางการเมือง

เป็นอีกหนึ่งตำบลกระสุนตก ที่ต้องระวังตัวมากขึ้น...



นั่นจึงทำให้เขาบอกกับบิ๊กๆ ใน ทบ. ว่า จากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง และขอร้องไม่ให้การเมืองลากกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่กองทัพจะทำหน้าที่กลไกของรัฐบาล ทำหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น

ด้วยเพราะมีหน้าที่โดยตรงที่เป็นภาระอยู่บนบ่ามากมาย โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ ทั้งปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เขาทุ่มเท พุ่งเป้าที่จะทำให้ดีขึ้นก่อนเกษียณปีหน้า และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร

โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ที่ศาลโลกจะตัดสินในเดือนตุลาคมปีนี้ หลังการชี้แจงปากเปล่า 15-19 เมษายนนี้ ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสั่งเตรียมพร้อม

ด้วยเพราะศาลโลกจะตัดสินออกมา 1 ใน 4 แนวทาง คือ 1.ศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ที่ฝ่ายไทยจะเฮได้ 2.ศาลโลก ยืนกรานว่า ไม่มีอะไรต้องตีความ ให้ยึดตามคำตัดสินในปี 2505 ที่กัมพูชาได้เป็นเจ้าของตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ 100x20 เมตร รอบตัวปราสาท ตามมติ ครม.ไทยเมื่อปี 2505

โดยแนวทางการต่อสู้ของไทย คือ การใช้ภาพเมื่อครั้ง เจ้านโรดม สีหนุ ขึ้นไปประกาศชัยชนะ เปิดแชมเปญฉลอง พร้อมถ่ายรูปกับแนวรั้วที่ไทยสร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตปราสาทพระวิหารของกัมพูชา กับเขตไทย พร้อมป้ายข้อความ "Beyond this point lies the vicinity of the temple of Phra Viharn" อันเป็นการสะท้อนว่า เจ้าสีหนุ ยอมรับในเขตแดนนั้น ด้วยแล้ว ก็ถือเป็นชัยชนะของไทย ที่ไม่ต้องเสียดินแดนเพิ่ม

แต่ปัญหาจะเกิดขึ้น หากศาลโลกตัดสินในแนวทางที่ 3 ให้ยึดตามบริเวณโดยรอบปราสาท หรือ Vicinity ตามที่เขมรตีความ ที่หมายรวมถึงส่วนประกอบของตัวปราสาท เช่น สระตราว สถูปคู่ ที่อยู่ในเขตไทย

ที่เลวร้ายที่สุดคือ แนวทางที่ 4 คือ การยึดตามแผนที่ 1 : 200000 ที่ฝรั่งเศสขีดเส้นไว้ตีความให้รวมถึง พื้นที่ทั้ง 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นของกัมพูชาด้วย

แน่นอนว่า สองแนวทางสุดท้ายนี้คือ ความพ่ายแพ้ของไทย และหมายถึงการเสียดินแดนเพิ่ม จากที่เราเคยเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อ 15 มิถุนายน 2505 เมื่อนั้น ต้องถามว่า กองทัพจะยอมถอนทหารออกจากดินแดนไทยหรือไม่ เพราะมันไม่ได้หมายความถึงการถอนทหารออก แล้วให้ตำรวจ ตชด. เข้าไปอยู่แทน เช่นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกก่อนหน้านี้ ที่ให้พื้นที่ปัญหา เป็นเขตปลอดทหาร แต่ทว่า กลายเป็นดินแดนของกัมพูชา

จนเชื่อกันว่า โอกาสที่จะมีการสู้รบระหว่างทหารไทยและกัมพูชา มีโอกาสเกิดขึ้นสูง

ยิ่งหากในเวลานั้น กลุ่มพันธมิตรฯ มีการปลุกกระแสคนไทยทั้งประเทศ แม้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำกัมพูชา ก็ตาม

ที่สำคัญ เมื่อนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะกล้าสั่งให้ถอนทหารออกมา และยอมเสียดินแดนให้กัมพูชา หรือไม่



นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. แสดงท่าทีแข็งกร้าว แสดงความพร้อมรบ มากขึ้น ถามว่า "ตอนนั้น ถ้ารัฐบาลให้รบ ทหารก็พร้อม และต้องถามประชาชนด้วยว่า พร้อมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ความสูญเสียหรือไม่ ทหารพร้อมรบอยู่แล้ว"

"สั่งให้รบ ผมก็รบ รบก็ต้องรบ" บิ๊กตู่ ย้ำ

แม้จะเปิดช่องไว้ด้วยว่า "การรบกันจะเป็นแนวทางสุดท้าย เพราะผมไม่ใช่พวกก้าวร้าว หรือพวกบ้าสงคราม" เพราะท้ายที่สุด ก็ต้องมาจบบนโต๊ะเจรจา

"ขอให้เชื่อมั่นว่า เราจะรักษาไว้ไม่ว่าจะเป็น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม ขอสัญญาว่าจะนำพากองทัพไปในสิ่งที่ท่านได้รักษาไว้ การสู้รบในวันนี้ไม่ใช่ใช้แต่กำลังอย่างเดียว แต่ต้องสู้ด้วยสติปัญญา กฎหมาย หลักการ และไม่ใช่การสู้รบที่น่าหฤหรรษ์มากนะ เพราะจะรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากอาวุธมีความรุนแรง ที่ผ่านมายังไม่เท่าไหร่ยังสูญเสียขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครอยากเห็นการบาดเจ็บสูญเสียอีก เว้นแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีหนทางอื่นที่พูดคุยเจรจาได้ก็ต้องว่ากันไป แต่เราต้องรักษาอธิปไตยแผ่นดินไทยตามกติกา กฎหมายที่กำหนดไว้ทุกประการ" พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศต่อหน้านักรบทหารพิการ เมื่อ 29 มกราคม

นี่จึงทำให้ ทบ. ต้องเตรียมพร้อม และมีการฝึกความพร้อมรบครั้งใหญ่ของ ทบ. ตามแผนป้องกันประเทศภาคตะวันออก หรือแผนกษัตริย์ศึก เมื่อปลายเดือนมกราคมยาวถึงมีนาคม ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และหลังแนวเขาพระวิหาร ทั้งระดับ กองร้อย กองพัน ของทุกเหล่ารบ ซึ่งทหารเขมรก็มีการฝึกด้วยเช่นกัน

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ ผบ.หน่วย เข้าไปดูแลลูกน้องในพื้นที่ให้ทั่วถึง



ต้องยอมรับประการหนึ่งว่า กองทัพไทยไม่เคยวางใจในสถานการณ์ชายแดนเขมร โดยเฉพาะที่เขาพระวิหารนี่เลย เพราะนอกจากเคยรบกันมาแล้ว และยังเดาใจ สมเด็จฮุน เซน และเกมการเมืองภายในและระหว่างประเทศ ได้ยากยิ่ง

ทบ. ยิ่งยังคงกำลังทหาร พร้อมด้วยปืนใหญ่ และปืนต่อสู้อากาศยาน ไว้ในพื้นที่อยู่ แม้แต่ปืนใหญ่อัตตาจร ซีซ่าร์ ที่รบครั้งก่อน ไม่ได้ใช้ แต่ก็เอาไว้ในพื้นที่ก่อน ให้เขมรกลัว เพราะจรวดหลายลำกล้องที่กลาโหมไทยพัฒนาร่วมกับจีน DTI-1 Guided เพื่อให้ยิงแม่นมากขึ้นนั้น กว่าจะสำเร็จก็อีกสองปี แถมยังยิงไกล 180 ก.ม. เกินจำเป็น และยังคุมการกระจายแตกตัวไม่ได้อีกด้วย แถมยังไม่กล้ายิงทดสอบในทะเลพังงา หลังจากที่กลาโหมไม่อนุมัติงบฯ 30 ล้านให้ขนไปยิงทดสอบที่ทะเลทราย ในจีน เพราะเสี่ยงเกินไป

ดังนั้น จึงไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้สัมพันธ์รัฐบาลไทย-เขมร จะแนบแน่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะซี้ปึ้กกับ สมเด็จฮุน เซน ก็ตาม



แต่ในอีกทางหนึ่ง กองทัพก็พยายามสร้างภาพเด็กดี ในสายตาศาลโลก ในการทำตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในการเตรียมถอนทหารออก ด้วยการให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ด้วยกัน ตามข้อตกลงของคณะทำงานร่วมแก้ปัญหาเขาพระวิหารไทย-กัมพูชา JWG-Joint Working Group โดยมีการประชุมร่วมของศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดทั้งของไทยและกัมพูชา ด้วยกันไปแล้วทั้งในไทยและที่เสียมราฐ เพื่อเร่งเก็บกู้ ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้

ก่อนที่ในเดือนเมษายน จะมี Oral Hearing ที่ศาลโลก เพื่อหมายให้ศาลโลกเห็นว่า ไทยและกัมพูชา สามารถแก้ไขปัญหานี้กันเองได้ โดยไม่ต้องมีประเทศที่สาม หรือแม้แต่ศาลโลก เข้ามายุ่งด้วยซ้ำ

งานนี้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ที่ดูแล JWG ด้วยตัวเอง ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองฝากฝังให้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ดูแลเรื่องเขาพระวิหารให้ดีๆ ไม่ยอมให้เสียดินแดน

ทั้งการให้บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รอง ผบ.สส. เพื่อนซี้ ตท.12 เป็นหัวหน้า JWG ฝ่ายไทย คู่กับ พล.อ.เนียง พาด รมช.กลาโหม เขมรต่อไป จากที่เคยทำมาตอนเป็นเสนาธิการทหาร ไม่ได้ปล่อยให้ พล.อ.เผด็จการ จันทร์เสวก เพื่อนอีกคนที่ขึ้นมาเป็นเสนาธิการทหาร ดูแล

รวมถึงการตั้ง พล.ท.สีหนาท วงศาโรจน์ เป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC-Thailand Mine Action Center ของ บก.กองทัพไทย เพื่อคุมการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ทับซ้อนรอบเขาพระวิหาร ด้วยตนเอง

โดย พล.ท.สีหนาท ตท.16 นั้น เป็นอดีตหน่วยข่าวกรอง เป็นอดีต รอง ผบ.ศรภ. อดีตรองเจ้ากรมข่าวทหาร อดีตผู้ช่วยทูตทหารประจำมาเลเซีย และจบ เสธ.ทบ.อังกฤษ ที่ชื่อว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ผู้เลือก น่าจะหวังผล

แม้แต่การส่ง บิ๊กต๊อก พล.ท.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ เจ้ากรมยุทธการทหาร (ตท.17) น้องรัก ไปเป็นหัวหน้าทีมเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์และข้อเท็จจริงด้านความมั่นคงร่วมทีมกับกระทรวงการต่างประเทศที่เสมือนหนึ่งเป็นโฆษกคนหนึ่งของคณะทำงานของรัฐบาล เพราะ พล.อ.ธนะศักดิ์ ต้องการให้การให้ข่าวจากฝ่ายทหาร เป็นไปในทางเดียว

ไม่แค่นั้น พล.อ.ธนะศักดิ์ พร้อม บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ก็ยังพากันไปตรวจความพร้อมรบของกองทัพเรือที่อยู่ระหว่างการฝึกร่วม CALFEX เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ ในพื้นที่ชายแดนตะวันออก และจะฝึกกองทัพเรือครั้งใหญ่ในเร็วๆ นี้



ฝ่ายไทยจึงคาดหวังว่า ศาลโลก น่าจะตัดสินออกมาในแนวทางที่ 1-2 ที่จะไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนเพิ่ม

แต่หากเป็นแนวทาง 3, 4 ฝ่ายไทยจึงต้องส่งสัญญาณเตือนให้ศาลโลกรู้ว่า คำตัดสินที่ไม่ยุติธรรม และมีมหาอำนาจที่มีผลประโยชน์ในเขมรแทรกแซง จะทำให้เกิดสงครามไทย-กัมพูชา ขึ้นอีกครั้งได้

ในเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศที่จะกลับมาสู่ภูมิภาคนี้แล้วกำลังจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การสู้รบก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาลโลก

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถูกสะกิดให้แสดงบทบาทที่แข็งกร้าวขึ้น เพื่อส่งสัญญาณบางอย่างไปถึงศาลโลก

ไม่ใช่เป็นการเอาใจกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนไทยรักชาติใดๆ หรือว่าเพราะกลัวจะถูกโดนด่า ว่าไม่รักชาติ อีกเท่านั้น

ในยามนั้น หากรัฐบาลสั่ง บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม สั่งให้ถอนทหารแล้ว กองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.สส. และ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. เพื่อน ตท.12 ไม่ยอม จะมีการย้าย ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. หรือไม่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

แต่ที่ต้องจับตามองคือ หากศาลโลกตัดสินที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มแล้ว เมื่อนั้น กองทัพจะอยู่ฝั่งรัฐบาลเพื่อไทย หรือว่าจะแข็งขืน ไม่ทำตามมติศาลโลก อันเป็นที่มาของข่าวลือ การรัฐประหาร ทั้งก่อนศาลโลกตัดสิน และหลังตัดสินใจ

ว่ากันว่าถ้าจะปฏิวัติต้องทำก่อนศาลโลกตัดสินไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และอาจเป็นเหตุให้องค์การสหประชาชาติ ส่งกำลังทหารหมวกฟ้า กองกำลังรักษาสันติภาพของ UN เข้ามาในไทยได้ หากกองทัพ เลือกทั้งปฏิวัติ และรบกับเขมร ทางออก จึงมีแต่การปิดประเทศเท่านั้น ซึ่งผู้นำทหารที่เห็นๆ หน้ากันอยู่นี้ และแกนนำอำมาตย์ ที่รู้ๆ กันอยู่ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่

เพราะถึงเมื่อนั้น กลุ่มคนเสื้อแดง ก็คงไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน



นั่นเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ที่อาจจะไม่เกิดขึ้น ถ้าศาลโลกตัดสิน ในแนวทาง 1, 2 หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แม้ศาลโลก ตัดสินในแนวทางที่ 3, 4 ถ้าทหารไม่กล้า แล้วรัฐบาลแข็ง คุมได้หมด

จึงให้จับตามองบทบาทของ พล.อ.อ.สุกำพล นับจากนี้ให้ดี เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเชือดไก่ให้ลิงดู ด้วยการย้ายฟ้าผ่า พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม และพวก เข้ากรุมาแล้วฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และแพร่งพรายความลับของทางราชการ

อีกทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล มักจะบอกให้มองในแง่ดีว่า ศาลโลกจะตัดสินมาอย่างยุติธรรม แล้วไทยเราจะชนะ เมื่อขึ้นเวทีชกก็ต้องคิดว่าชนะ ถ้าคิดว่าแพ้ ก็โยนผ้าขาวไปแล้ว อีกทั้ง จะเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยกัน ก็คงไม่ต้องรบกันอีกแล้ว

"ไม่ใช่ผมไม่ห่วงนะ แต่จะไปพูดทำไม อย่าไปมองแต่ว่าจะแพ้ จะเกิดนั่นเกิดนี่ ให้มองในแง่ดีไว้ ผมว่ายังไงก็ไม่มีทางรบกัน" พล.อ.อ.สุกำพล ฟันธง

ทุกอย่างกำลังใกล้เข้ามาๆ แล้ว โดยมิมีใครที่อาจหยั่งรู้ฟ้าดิน นอกเสียจากเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ไว้ก่อน แล้วภาวนาให้ชัยชนะบังเกิดแก่สยาม...

เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ยากที่จะคาดเดาว่า อะไรจะอุบัติขึ้น...


 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...