ฐานทัพใต้สมุทร สถานที่ลึกลับ ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

คง จะทราบกันดีว่า พื้นที่ 51 (AREA 51) นั้นเป็นฐานทัพทหารของกองทัพสหรัฐฯที่สร้างขึ้นมาโดย CIA เพื่อทำการทดลองเครื่องบินจารกรรม (Stealth Plane) และยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นสถานที่ใช้ศึกษาและวิจัยยานอวกาศของมนุษย์ต่าง ดาว ถ้าพื้นที่ 51 เป็นพื้นที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และลึกลับที่สุดบนพื้นโลกแล้วละก็ คงจะไม่ผิดนักถ้าพวกเราจะเรียกพื้นที่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาว่า พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน บ้างเช่นกัน 

 

The Atlantic Undersea Test and Evaluation Center ชื่อเล่นก็คือ AUTEC หรือ ออเทค มันถูกสร้างขึ้นบน เกาะแอนดรอส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะบาฮามาส์ ในทะเลแคริบเบียน เมื่อราว 30 ปีก่อน สิ่งที่ ออเทค ทดลองและพัฒนาก็คือ อาวุธสงคราม ที่ ออเทค มาตั้งฐานทัพที่นี่ก็เพราะว่าเกาะแอนดรอส อยู่ใกล้กับ "ลิ้นของมหาสมุทร"(The Tongue of the Ocean) หรือที่มีชื่อย่อว่า "โตโต" (TOTO)

 

โตโต เป็นแอ่งน้ำที่มีความลึกมาก ที่แห่งนี้มีขนาดยาวประมาณ 110 ไมล์ทะเล (204 กิโลเมตร) กว้าง 20 ไมล์ทะเล (37 กิโลเมตร) และลึกราว 700-1,100 ฟาทัม (1,280-2,012 เมตร)

จริงอยู่ที่ ออเทค เป็นศูนย์บัญชาการที่มีขนาดเพียงแค่ 1 ตารางไมล์เท่านั้นเองจากที่เราเห็นบนเกาะแอนดรอส แต่อย่าลืมว่ามันถูกล้อมรอบด้วย "ลิ้นของมหาสมุทร" ที่เรามองไม่เห็นซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดถึง 1,670 ตารางไมล์ และมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่า ออเทค มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดไม่แพ้ "พื้นที่ 51" ตัวจริงที่อยู่ในรัฐเนวาดา นี่ขนาดตั้งอยู่กลางมหาสมุทร ยังมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด  ในปี ค.ศ. 1997 มีพรานล่านกเป็ดน้ำหลงเข้าไปใน "เขตหวงห้าม" ระหว่างนั้นเองพวกเขาก็เจอกำแพงต้นไม้ที่หนาแน่นผิดปกติ ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ถูก "อัด" ที่ท้องและถูกบังคับให้นอนราบลงกับพื้น

เหล่านายพรานที่โชคร้าย รู้แทบในทันทีว่าเจ้ากำแพงต้นไม้ที่พวกเขาพบนั้นเป็น ต้นไม้ปลอมที่ใช้พรางค่ายทหาร ทหารอีกกลุ่มหนึ่ง "แหวก" กำแพงต้นไม้ออกมา "หิ้ว" พวกเขาเข้าไปในค่าย จากนั้นพวกเขาก็ถูกจับเข้ากรงขัง หลายชั่วโมงต่อมาก็มีทหารมาไขกุญแจห้องขังให้และบอกว่า พวกเขาเชื่อว่า พวกนายพรานไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้าม จึงปล่อยตัวพวกเขาไป

มีหลายคนอ้างว่า ได้เห็นวัตถุบินลึกลับบินอยู่บริเวณเกาะแอนดรอสบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่พบนั้น มันจะโชว์ลีลาการบินที่คุณจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันสามารถหักเลี้ยวเป็นมุมแคบแบบเฉียบพลัน ได้โดยทันทีทันใดดั่งใจนึก ครั้งหนึ่งขณะที่นักธุรกิจชาวเวียดนามคนหนึ่งกำลังแล่นเรือยอชท์อยู่บริเวณ ชายฝั่งของเกาะแอนดรอส เขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งเขาคิดว่าเป็นปลาวาฬอยู่ห่างจากเขาไปราว 2 ไมล์

แต่เมื่อเขาแล่นเรือเข้าไปใกล้ราวครึ่งไมล์ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ปลาวาฬ แต่กลับเป็น "สิ่งประดิษฐ์" บางอย่างที่มีรูปร่างลักษณะที่ล้ำสมัยมาก ทันใดนั้นเองมันก็ออกตัวไปด้วยความเร็วชนิดที่เรียกว่า "เร็วchipหาย" ไปบนผิวน้ำฝ่าคลื่นลูกใหญ่และหายวับไปต่อหน้าต่อตา

 

The Tongue of the Ocean  "โตโต" 

 

ดร. ไมเคิล ไพรซิงเกอร์ (Dr. Michael Preisinger) นักประวัติศาสตร์และนักประดาน้ำชาวเยอรมันได้ถูกบริษัทที่เขาทำงานอยู่ส่ง ตัวมาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนการดำน้ำให้กับลูกค้าที่เมือง นาส์ซอ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบาฮามาส์ ดร.ไมเคิล และครอบครัวได้เดินทางมาที่บาฮามาส์ในปี ค.ศ. 1995

 

 

ลูกค้าของ ดร.ไมเคิล ก็คือ เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ของสายการบินต่างๆ ของประเทศเยอรมัน พวกเขามาฝึกการดำน้ำแบบสกูบา (Scuba Diving) เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวของสายการบิน ระหว่างที่ ดร.ไมเคิล พาลูกค้าของเขานั่งเรือไปยังจุดที่จะทำการฝึกสอนลูกค้าหลายคนได้บอกว่า
เข็มทิศของพวกเขามีปัญหา มันชี้มั่วไปหมดจนไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ด้วยความเป็นนักประวัติศาสตร์ ดร.ไมเคิล ก็ได้ทำการจดบันทึกตำแหน่งของเรือตอนที่เข็มทิศมีอาการผิดปกติ โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้

 

 

ดร.ไม เคิล ก็กลับมาที่นั่นจริงๆ เขาพบว่าเข็มทิศของเขาชี้มั่วเหมือนกับที่ลูกค้าเขาบอก ดร.ไมเคิลไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเข็มทิศ และอะไรเป็นสาเหตุให้มันเป็นเช่นนั้น เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาเขาได้นำปัญหานี้ไปปรึกษากับนักฟิสิกส์หลายคนทั่ว โลกและก็มีนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้ให้ข้อสังเกตว่า สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เข็มทิศผิดปกติได้คือ "รูหนอน" (Wormhole)

"รูหนอน" นี้ก็เหมือนกับ "หลุมดำ" (Black hole) คือ มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับสลายไป แล้วก็เกิดใหม่ แล้วก็ดับไป เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อนๆชาวหว้ากอก็คงจะทราบการทำงานของ "รูหนอน" ดีอยู่แล้ว ก็คือถ้านำกระดาษมาหนึ่งแผ่น ซึ่งสมมุติว่าเป็นพื้นโลก จากนั้นให้เพื่อนๆวาดจุดลงบนปลายกระดาษด้านบนหนึ่งจุด และด้านล่างหนึ่งจุด โดยให้ชื่อว่าจุด A และจุด B เสร็จแล้วให้งอกระดาษเป็นรูปตัวยู (U) ทีนี้สมมุติว่าเราจะเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B เราก็ต้องเดินทางไปตามผิวโลก(แผ่นกระดาษ) แต่ถ้าหากระหว่างจุด A และจุด B เกิดปรากฏการณ์ "รูหนอน" เราก็สามารถที่จะเดินทางผ่าน "รูหนอน"จากจุด A มายังจุด B ได้โดยที่ใช้เวลาน้อยกว่ามาก

 

 

ร็อบ พลาเมอร์ (Rob Palmer) นักประดาน้ำระดับโลกชาวอังกฤษ ผู้อำนวยการมูลนิธิหลุมฟ้า (The Blue Holes Foundation) ได้ศึกษาเรื่องถ้ำประหลาดที่เขาพบใต้มหาสมุทร ร็อบเชื่อว่าถ้ำประหลาดเหล่านั้นเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างมิติที่พวกมนุษย์ ต่างดาวใช้ในการเดินทาง ร็อบกล่าวว่า บริเวณหมู่เกาะบาฮามาส์ นี้เต็มไปด้วยหินปูนขนาดใหญ่ ซึ่งหินปูนนี้เองที่เป็นตัวการในการก่อกำเนิดถ้ำ และจากการที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่านบนเกาะจึงทำให้บรรดาหินปูนก่อตัวกันขึ้นเป็น ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ และยาวขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งมันกินเนื้อที่ลงไปในใต้น้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร

 

 

การ ขาดแคลนน้ำจืดบนหมู่เกาะบาฮามาส์ ทำให้ถ้ำเหล่านี้ก่อตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งมันถึงกับพังครืนลงมาเพราะรากฐานของถ้ำไม่สามารถรับน้ำหนักของมัน ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำในมหาสมุทรมีระดับต่ำมากเช่น ในช่วง ยุคน้ำแข็ง (Ice age) บางครั้งการถล่มของถ้ำได้เกิดต่อเนื่องขึ้นมาจนถึงตัวถ้ำที่อยู่บนพื้นเกาะ และในช่วงนี้เอง ที่ทางเข้าถ้ำใต้พิภพได้ก่อตัวขึ้น

เมื่อน้ำในมหาสมุทรมีปริมาณมากขึ้น บรรดาถ้ำเหล่านี้ก็จมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ปากถ้ำส่วนใหญ่จะจมอยู่ใต้ทะเลสาบบนเกาะหรือไม่ก็จมอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แนวปะการังรอบๆ เกาะ (Barrier Reef) ปากทางเข้าถ้ำใต้พื้นน้ำนี่เองที่ร็อบเรียกมันว่า "หลุมฟ้า"

 

 

"หลุมฟ้า" มีอยู่เป็นจำนวนมากรอบๆ หมู่เกาะบาฮามาส์ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นลิ้นของมหาสมุทร

 

"หลุมฟ้า" เหล่านี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อราวปลายทศวรรษที่ 1950 โดย จอร์จ เบนจามิน (George Benjamin) นักประดาน้ำชาวแคนาดา ได้มาดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้ รอบๆ เกาะแอนดรอส ซึ่งทำให้ผู้คนก็เริ่มรู้จักถ้ำประหลาดใต้น้ำ และเรียกมันว่า "หลุมฟ้าของเบนจามิน" (Benjamin's Blue Hole)

 

ภายในถ้ำยังมีช่องเล็กช่องน้อยนำเข้าไปสู่ถ้ำอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำใหญ่ จอร์จได้ดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้ไปจนกระทั่งที่ระดับความลึก 300 ฟุต และจากภาพยนตร์ที่เขาได้บันทึกเอาไว้ ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักถ้ำใต้น้ำในบาฮามาส์ แต่การสำรวจของจอร์จได้สิ้นสุดลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 เนื่องจากเพื่อนที่ร่วมเดินทางสำรวจถ้ำคนหนึ่งเสียชีวิตภายในถ้ำใต้น้ำ บริเวณ "ลิ้นของมหาสมุทร"ที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่นั่นเอง

 

 

ใน ช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ก็มีนักประดาน้ำชาวอเมริกันชื่อ เช็ก เอ็กซ์เลย์ (Sheck Exley) ได้พบถ้ำใต้น้ำที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นถ้ำใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก และอีก 10 ปีต่อมา มันก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "อุทยานแห่งชาติลูคายัน" (Lucayan National Park) ส่วน ร็อบ พลาเมอร์ ได้เริ่มมาสำรวจถ้ำใต้น้ำเมื่อปี ค.ศ. 1981 เขาได้พบถ้ำใต้น้ำอีกจำนวนมาก อีกทั้งเขายังพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่บรรดานักวิทยาศาสตร์คิดว่ามันสูญ พันธ์ไปแล้วเมื่อ 150 ล้านปีก่อน

 

 

วันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 ร็อบและเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน เดินทางไปสำรวจถ้ำใต้น้ำในทะเลแดงที่ประเทศ อียิปต์

เมื่อเรือแล่นไปถึงจุดที่ร็อบจะดำสำรวจถ้ำใต้น้ำ เขาก็ทิ้งตัวลงจากเรือดำดิ่งไต่ความลึกลงตรงไปยังถ้ำใต้น้ำทันที เพื่อนร่วมทีมของเขาประหลาดใจที่ ร็อบ ทำเช่นนั้น เพราะโดยปรกติแล้ว นักประดาน้ำจะว่ายน้ำจากเรือไปยังตำแหน่งของถ้ำใต้น้ำเรียกว่า "กำแพง" แล้วจึงค่อยดำลงไป

 

 

ทั้งๆ ที่ยังแปลกใจไม่หาย เพื่อนร่วมทีมทั้ง 3 คนก็รีบดำน้ำตาม ร็อบ ลงไป หนึ่งในนั้นตามไปถึงแค่เพียงระดับความลึก 64 เมตรก็กลับ ส่วนอีก 2 คนที่เหลือยังคงดำน้ำตาม ร็อบ ไปจนถึงที่ระดับความลึก 99 เมตรก็ยังไม่สามารถตามร็อบไปได้ทัน ทั้ง 2 คนจึงตัดสินใจกลับสู่ผิวน้ำ ส่วนร็อบก็ยังคงดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ

เพื่อนๆ ได้รอคอยการกลับมาของ ร็อบ อยู่บนเรือเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่เขาก็ไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของ ร็อบ นั้นยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครตอบได้ว่าทำไมร็อบจึงตัดสินใจดำน้ำดิ่งตรงจากเรือ แทนที่จะค่อยๆ ว่ายน้ำไปยังจุดที่ต้องการก่อน

 

 

ดร.ไม เคิล เชื่อว่า ร็อบ พลาเมอร์ ถูก "สั่งเก็บ" โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะว่าเขาเป็นอันตรายต่อความลับใต้ท้องมหาสมุทรในบาฮามาส์ ที่รัฐบาลพยายามปกปิด เขาอาจโดนสะกดจิตให้ทำในสิ่งที่ต้องคร่าชีวิตเขาเอง หรือไม่ก็มีการปรับแต่งอุปกรณ์ประดาน้ำของเขา เนื่องจาก ดร.ไมเคิล เชื่อว่า "หลุมฟ้า" ที่ ร็อบ ทำการสำรวจนั้นเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการเกิด-ดับของ "รูหนอน"

 

 

มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหาข้อมูลของ "ออเทค" หรือ "พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน"เนื่องจากมันตั้งอยู่กลางมหาสมุทร แถมทั้งยังกินพื้นที่ลงไปใต้พื้นมหาสมุทรอีกด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมฐานทัพสหรัฐฯ จึงมักจะไปตั้งอยู่ในบริเวณที่ลับหูลับตาผู้คนและมักจะมีรายงานการพบเห็น วัตถุบินลึกลับในบริเวณฐานทัพเหล่านั้นเสมอ......

 

ขอบคุณ:http://www.atcloud.com

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...