เจ๋งโคตร สไปเดอร์แมน-ซุปเปอร์แมน-แบทแมน ปั่นจักรยานไปสอนหนังสือเด็กดอย(ชมคลิป)

 

 

ไม่ได้มาจากดาวคริปตัน, ไม่ได้โดนแมงมุมกัด, ไม่ได้เป็นอัจฉริยะที่สร้างชุดเกราะเองได้, ไม่ได้เป็นเทพเจ้า, ไม่ได้โดนรังสีแกมม่า

 

"ไซคลิ่ง ซุปเปอร์ฮีโร่"(Cycling Superheroes)

 

แต่คนทุกคนสามารถที่จะเป็น "ซุปเปอร์ฮีโร่" ได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ใส่ใจที่จะช่วยกันดูแลโลกใบนี้ เฉกเช่นเดียวกันกับประโยคทองจากภาพยนตร์สไปเดอร์แมนที่สะท้านวงการก๊อปปี้ ไรเตอร์ ที่ว่า

 

"พลังอันยิ่งใหญ่นั้น มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง"

 

บนโลกที่แสนวุ่นวายใบนี้ ยังมีกลุ่มคนที่รับผิดชอบต่อสังคมกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ กลุ่ม "ไซคลิ่ง ซุปเปอร์ฮีโร่"(Cycling Superheroes)

 

อาสาสมัครกลุ่มนี้ เป็นการรวมตัวกันระหว่าง เดวิด ซาเวจ, โดโนแวน ริชาร์ด และ รอน พูนแสงสถิตย์ โดยในเวลาปกติ พวกเขาเป็นคนธรรมดา ซาเวจและริชาร์ด เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ส่วนรอนเป็นครูสอนดำน้ำ แต่หลังจากเสร็จสิ้นจากงานในชีวิตประจำวันแล้ว ซาเวจจะแปลงกายเป็นมนุษย์จากดาวคริปตัน "ซุปเปอร์แมน", ริชาร์ดแปลงร่างเป็นไอ้แมงมุม "สไปเดอร์แมน" และรอนกลายเป็นอศวินรัตติกาล "แบตแมน"

 

โดโนแวน ริชาร์ด

 

นี่ไม่ใช่ทีมซุปเปอร์ฮีโร่กู้โลกแบบ "ดิ อะเวนเจอร์ส"(The Avengers) ของค่ายมาร์เวล แต่สิ่งที่พวกเขาต้องรับผิดชอบก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ภารกิจของพวกเขาก็คือ การปั่นจักรยานไปสอนหนังสือนักเรียนในดินแดนที่ห่างไกลความเจริญ

 

การปั่นจักรยาน+งานอาสาสมัคร คือสมการทางเคมีที่่ทำให้ทั้ง 3 คนโคจรมาเจอกันบนโลกกลมๆใบนี้ ซาเวจและริชาร์ดปั่นจักรยานเส้นทางจากเหนือไปใต้ของประเทศไทย ในปี 2552 และรอนได้เดินทางในเส้นทางเดียวกันนี้ในปีต่อมา แล้วพวกเขาก็มารวมตัวกันในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2554 เพื่อปั่นจักรยานทั่วประเทศไทย ทำให้พวกเขาเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ ในจังหวัดที่ห่างไกล และต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือ

 

รอน พูนแสงสถิตย์

 

แรงบันดาลใจในการเดินทางในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงออกระดมทุนตามสถานที่สาธารณะ อย่างเช่น สวนลุมพินี ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ทุนสนับสนุนจาก บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ บริษัทผลิตเหล็กกล้าเจ้าใหญ่ ทำให้ตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซุปเปอร์ฮีโร่ทั้ง 3 คน ได้เดินทางออกตามหาความฝันของตนได้สำเร็จเองด้วยการเดินทางโดยการปั่นจักรยานหลายร้อยกิโลเมตรไปทำงานอาสาสมัครใน 3 โรงเรียน ได้แก่ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านทัศนีย์ จ.ตาก, โรงเรียนประถมบ้านดงใหม่ จ.แม่ฮ่องสอน และศูนย์ศึกษาบ้านในซอย จ.แม่ฮ่องสอน

 

ในวันนี้ พวกเขากลับมาทำงานปกติที่กรุงเทพฯ กันเรียบร้อยแล้ว แต่ความทรงจำระหว่างการเดินทางของพวกเขายังค้างอ้อยอิ่งอยู่ในหัว และพร้อมที่จะถ่ายทอดในเราฟังในบรรทัดถัดไปนี้

 

เดวิด ซาเวจ

 

กลุ่ม "ไซคลิ่ง ซุปเปอร์ฮีโร่" เริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า ริชาร์ดกับรอนเจอกันเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วในงานวิ่งมาราธอนงานหนึ่ง ส่วนซาเวจนั้นสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนอัสสัมชัญ การรวมตัวของคนทั้งสามนั้นเริ่มจากริชาร์ดและรอนคุยกันว่าอยากปั่นจักรยานทางไกล จนวันหนึ่งเราตัดสินใจปั่นจักรยานจากอรัญประเทศไปเสียมราฐ หลังจากนั้นก็จากเชียงใหม่ไปภูเก็ตแต่ว่ายังไม่ได้เริ่มการปั่นเพื่อการกุศล

 

"ระหว่างทางพวกเราได้พบเจอเด็กๆ ที่ไม่ได้รับการศึกษามากมาย เราจึงเริ่มทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนที่เราสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ และศึกษาเรื่องเส้นทางในการปั่นจักรยาน มีคนมากมายอยากเข้าร่วมปั่นจักรยานกับเรา แต่มันค่อนข้างยุ่งยาก เพราะทุกคนต้องมีทักษะและระดับความเร็วในการปั่นเพื่อที่จะสามารถรักษาระยะในการปั่นให้เกาะกลุ่มกันไปได้ในระยะทางไกล พวกเราวางแผนที่จะเดินทางกันมาปีกว่าแล้ว และคิดว่าจะออกเดินทางตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว แต่น้ำท่วมจึงต้องเลื่อนโปรเจ็กต์ออกไปก่อน"

 

ซุปเปอร์ฮีโร่ผู้รักการปั่นจักรยาน

 

เหตุผลที่พวกเขาเลือกที่จะทำงานอาสาสมัครในเมืองไทยก็คือ "พวกเราชอบการปั่นจักรยานอยู่แล้ว และหลังจากพวกเขาปั่นจักรยานจากเชียงใหม่ไปภูเก็ต พวกเราก็รู้ว่าพวกเราสามารถปั่นทางไกลได้ และด้วยความเป็นครู ทำให้พวกเราอยากช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาส"

 

การเดินทางในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้ง รอน, ริชาร์ด และซาเวจ เล่าถึงความประทับใจให้ฟังว่า

 

"ในเดือนมีนาคม เราเริ่มต้นการปั่นของเราที่จังหวัดตาก ผู้คนที่เราพบเจอน่ารักมาก เราเริ่มต้นการปั่นในตลาดในตัวเมืองจังหวัดตาก ผู้คนในตลาดให้ความสนใจกับเรามาก มาขอถ่ายรูปและเข้ามาพูดคุยเรื่องโปรเจ็คของพวกเรา

 

"จากนั้น เราไปที่สถานพักพิงบ้านทัศนีย์ มีเด็กๆ 62 คน พวกเราประทับใจในการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของทุกคนๆ ที่นั่นมีเด็กๆ 62 คนในขณะที่มีผู้ใหญ่คนเดียวคือครูทัศนีย์ เด็กที่อายุมากที่สุดอายุเพียง 20 ทุกคนต้องช่วยดูแลกันและกัน ผมได้พบเด็กคนหนึ่งอายุ 1 ขวบแล้วเขาหิวนม พวกพี่ๆ จึงยื่นกล่องนมและแก้วให้ เด็กคนนั้นก็สามารถเทนมใส่แก้วและดื่มเองได้ ผมประหลาดใจมากเด็กคนนั้นอายุเพียง 1 ขวบเท่านั้น ทุกอย่างที่นี่ถูกวางไว้อย่างเป็นระบบมาก เด็กๆ สามารถดูแลตัวเองและดูและกันเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เด็กๆ ที่นี่สุภาพเรียบร้อยมาก ไม่งอแงหรือเกเร

 

"ยิ่งไปกว่านั้นเด็กๆ ที่นี่มีความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างเหนียวแน่น พวกเขาไปเรียนโรงเรียนประถมในเมือง และเพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็จะกลับมาเล่นฟุตบอลด้วยที่บ้านทัศนีย์ พวกเราก็ได้ร่วมเล่นฟุตบอลในขณะที่สวมชุดซูเปอร์ฮีโร่ คุณสามารถให้การสนับสนุนเด็กๆ ที่นี่ได้ ด้วยเงินสนับสนุนเดือนละ 2,000 บาท และคุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้การช่วยเหลือเด็กๆ คนไหน ซึ่งเป็นเงินจำนวนน้อยมากต่อเดือน อย่างไรก็ตามทางบ้านทัศนีย์ไม่อนุญาตให้มีการอุปการะเด็กๆ จนกว่าจะอายุ 15 ปี เพราะว่าเด็กจะโตพอที่จะมีความคิดเป็นของตัวเองและตัดสินใจได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีกับพวกเขา

 

“พวกเราจัดงานบาร์บีคิวให้แก่เด็กๆ ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังโรงเรียนต่อไป เด็กๆ เข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยมากในการรับประทานอาหารและสิ่งที่เด็กๆ ชื่นนชอบมากที่สุดคือไอศกรีม ซึ่งเราได้สั่งมาเลี้ยงพวกเขาในงานบาร์บีคิวนี้”

 

ภารกิจของซุปเปอร์ฮีโร่

 

ถัดจากสถานพักพิงบ้านทัศนีย์ พวกเขาเดินทางไปที่ "โรงเรียนบ้านดงใหม่"

 

"พวกเราตั้งใจจะช่วยเด็กๆ ในเรื่องการเพาะปลูกพืชผักสวนครัวที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้ในระยะยาว เมื่อพวกเราได้คุยกับทางโรงเรียนพวกเราพบว่าโครงการนี้ต้องการเงินสนับสนุนแค่ประมาณ 3,000 บาท และสิ่งที่ขาดแคลนอย่างหนักคือ ครู เพราะมีครูไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนทำให้นักเรียนจำนวน 7 คนไม่สามารถเข้าเรียนได้เหมือนคนอื่นๆ พวกเราเป็นครู เราเข้าใจว่าการเป็นครูในที่ห่างไกลความเจริญต้องอาศัยความมุ่งมั่นและและอุทิศตนถึงจะทำงานในที่เช่นนี้ได้ เพราะเงินเดือนของครูที่นั่นได้เพียงแค่ 4,500 บาทต่อเดือนเท่านั้น การช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้สามารถทำให้เด็กๆ อีก 7 คนได้เรียนหนังสือ ตอนนี้มีทั้งเรียนทั้งหมด 44 คน ถ้าได้เพิ่มอีก 7 คนก็จะเป็น 51 คน

 

"พวกเราจึงบอกให้ทางโรงเรียนลิสต์มาให้ว่าขาดเหลือและต้องการสิ่งใดบ้าง สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่มีงบคือการซ่อมแซมและปรับปรุงหอพักนักเรียนเป็นเงิน 6,000 บาท,แทงค์เก็บน้ำ, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์ และโต๊คอมพิวเตอร์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถหาแรงงานและวัสดุได้จากในชุมชน เพราะคนในชุมชนมีฝีมือในการทำงานอยู่แล้ว เช่น การก่อสร้างห้องเรียนและโต๊ะคอมพิวเตอร์ ทางโรงเรียนจึงต้องการแต่เงินสนับสนุนเพื่อนำไปจ่ายค่าแรง

 

"นอกจากนี้พวกเรายังได้สอนภาษาอังฤษแก่นักเรียนด้วย น่าแปลกใจมาก เพราะระดับภาษาของเด็กๆ ดีมาก พวกเขาสามารถเข้าใจที่เราสอนได้อย่างง่ายดาย และพวกเด็กๆ ยับได้ร้องเพลงให้เราก่อนกลับด้วย ตอนแรกเรานึกว่าพวกเขาจะร้องเพลงง่ายๆ อย่าง Twinkle little star แต่พวกเขากลับร้องเพลงยากๆ อย่าง Michael learns to rock ทั้งเพลงได้ พวกเขาร้องได้ไพเราะมาก

 

"ครูใหญ่ที่โรงเรียนนี้เล่าให้เราฟังว่าทางกระทรวงศึกษาธิการจะเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานโรงเรียนในอีก 1 อาทิตย์ ถ้าไม่ได้มาตรฐานโรงเรียนจะถูกปิด พวกเขาจะเช็คมาตรฐานของน้ำและอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่มากของที่นี่เพราะคุณต้องไปเห็นด้วยตาของตนเองว่าบ้านหมู่แต่ละแห่งห่างไกลกันมากและเส้นทางสูงชันมาก พวกเขาต้องการโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลที่สามารถเดินทางไปเรียนได้ และต้องการครูที่จะสามารถประจำอยู่ที่โรงเรียนได้ พวกเราต้องลงจากจักรยานแล้วเดินหลายครั้ง"

 

 

การเดินทางของพวกเขาตลอดระยะเวลาเกือบเดือน จากจังหวัดต่างสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน สิ้นสุดลงที่ "โรงเรียนบ้านในซอย"

 

"ที่นี่มีเด็กนักเรียน 70 คน เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่เรียนที่นี่ไม่มีสัญชาติ พวกเขาเรียนได้ถึงแค่มัธยม 3 หลังจากนั้นไม่มีการรับรองจากกระทรวงทำให้พวกเขาไม่สามารถเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็จะไปทำงานในไร่นาเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ว่าในช่วงหลังกระทรวงศึกษาได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้ทางโรงเรียนสามารถออกใบประกาศนียบัตรให้แก่เด็กๆ และทำให้พวกเขาสามารถไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ สิ่งที่เด็กๆ เรียนส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องทางวิชาการแต่เน้นวิชาชีพซึ่งเด็กๆ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากกว่า ซึ่งน่าแปลกมากเพราะเด็กๆ ส่วนใหญ่สามารถเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยได้ สิ่งที่ทางโรงเรียนขาดแคลนและต้องการพวกที่สุดคือห้องคอมพิวเตอร์ ตอนนี้โรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง แต่ห้องคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถกันน้ำได้ พวกเขาต้องการงบ 230,000 บาท แต่เรามีเงินไม่พอ เราจึงถามว่าพวกเขาต้องการอะไรอีกบ้าง พวกเขาต้องการแท็งเก็บกักน้ำ และน้ำดื่มที่สะอาด

 

"เด็กๆ ที่มาเรียนที่โรงเรียนนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียน แต่พวกเขาจะช่วยกันทำงาน พวกเขาผลิตอิฐเอง มีเตาเผาอิฐที่โรงเรียน ครูใหญ่ที่โรงเรียนเล่าให้ฟังว่าตอนแรกที่ซื้อที่ดินที่นี่มีแต่คนถามว่าซื้อที่นี่ทำไม เพราะว่าที่ดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ครูใหญ่ซื้อเพราะว่าดินที่นี่สามารถนำมาทำอิฐก่อสร้างอาคารเรียนได้ อาคารที่ก่อสร้างได้แข็งแรงมาก และยังได้เชื้อเพลิงในการเผาอิฐจากฟางข้าวในบริเวณใกล้เคียง ครูใหญ่สอนขั้นตอนในการผลิตอิฐอย่างละเอียดและคาดหวังให้เด็กๆ นำความรู้นี้ไปเผยแพร่ต่อให้คนในชุมชนของพวกเขา"

 

ทั้ง 3 หนุ่มย้ำว่า ทั้ง 3 ที่ที่พวกเขาไป สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ "ทุกๆ ที่ที่พวกเราไป เราพบว่าทุกที่ต้องการน้ำสะอาดสำหรับดื่มและใช้ และอย่างที่สองคืออาคาร ที่พักอาศัย"

 

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)ผู้ให้การสนับสนุน

 

"ไซคลิ่ง ซุปเปอร์ฮีโร่" ได้พูดถึง บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ในการเดินทางครั้งนี้ว่า

 

"พวกเราได้รับเงินสนับสนุน 2 แสนบาทจากเอสเอสไอ พวกเราไปพบคุณวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ในงาน ′ฅนเหล็กมินิมาราธอน′ ที่สวนลุมฯ เอสเอสไอให้ความสนใจอย่างมากในการทำกิจกรรมของเรา"

 

 

เมื่อจบจากการเดินทางครั้งนี้ แต่ความฝันที่จะช่วยเหลือสังคมของพวกเขายังไม่จบลงอย่างแน่นอน เพราะว่า "พวกเราจะอัพเดตข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับแต่ละโรงเรียนลงในเฟซบุ๊คของ ′Cycling Superheroes′ รวมทั้งสิ่งที่แต่ละโรงเรียนขาดแคลนและต้องการการให้ความช่วยเหลือ คนที่ต้องการให้การช่วยเหลือสามารถเลือกได้ว่าอยาบริจาคเพื่อช่วยเหลือในด้านไหน เป็นเรื่องยากมากๆ ที่เรื่องเล็กๆ ที่เราช่วยเหลือคนอื่นก็สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้"

 

 

เห็นสิ่งที่พวกเขาทำเรา ต้องบอกว่า นี่คือ วิถีของ "ซุปเปอร์ฮีโร่" ตัวจริงเสียงจริง แต่เหล่า "ไซคลิ่ง ซุปเปอร์ฮีโร่" กลับคิดว่าตนเองไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบนั้น เพียงแต่ แม้จะเป็นคนธรรมดา ก็สามารถที่จะเลือกทำสิ่งที่ดีได้

 

"พวกเราเป็นแค่คนธรรมดา ที่ต้องการสร้างความแตกต่าง ทุกคนมีไอเดียแต่ว่าคุณต้องตัดสินใจทำมัน คุณอาจเริ่มจากการลิสต์ว่าอยากทำอะไรบ้างแล้วค่อยๆ ทำมัน เพียงแค่นี้คุณก็จะทำสิ่งเล็กๆ ให้สำเร็จได้"

 

 

 

 

 

 

ติดต่อพวกเขาได้ที่ www.cyclingsuperheroes.com

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...