โลก..ที่อยู่..ของผู้มาเยือน



ชิเชน อิตซา ซึ่งว่ากันว่า หัวตัดของพีระมิด น่าจะเป็นที่จอดอากาศยาน.

เมื่อ ไม่กี่วันก่อนนี้ ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The District 9 แล้วทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง ในภาพยนตร์เล่าถึงมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลกของเรา แล้วก็เกิดมีการสร้างเป็นนิคมให้ เหล่าเอเลี่ยนพวกนี้ได้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ปะปนกับชาวโลก แต่ไอ้ที่ทำให้รู้สึกบางอย่างดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เพราะว่า มีหลายความเชื่อจากนักวิชาการ นักเขียนหลายคนเลยทีเดียว ที่คิดว่า อันที่จริงแล้วมนุษย์จากดาวดวงอื่น ได้ "เคย" ย่างก้าวเข้ามาพำนักพักพิงบนโลกของเรามานานเนแล้ว แถมยังได้ทิ้ง "อนุสรณ์" ไว้ตั้งเยอะแยะให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า เฮ้...ฉันอยู่ตรงนี้มานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งมาสักหน่อย

ว่าแล้ว ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูน ก็ไม่รอช้ารีบตะแล๊บแก๊บตีสายโทรเลขไปถามผู้เชี่ยวชาญโดยพลัน เพื่อนำเรื่องนี้มาไขให้กระจ่าง


แบบจำลองแบตเตอรี่แห่งแบกแดด.

จาก ที่ได้กล่าวแล้วว่า มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ โดยพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ มหาพีระมิดแห่งชูลูลาในเม็กซิโก

อันว่าพีระมิดนั้นไม่ว่าเล็กหรือ ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันคือรูปทรง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ เช่น พีระมิดขั้นบันไดที่ชิเชน อิตซา ที่ระลึกจากอารยธรรมมายาในเม็กซิโก ที่มีบันได 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น รวม 364 ขั้น บวกกับขั้นบนสุดรวมเป็น 365 ขั้น เท่ากับจำนวนวันในแต่ละปี ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังไม่มีระบบการใช้ปฏิทินเหมือนในปัจจุบัน หรือการที่หมู่พีระมิดกีซามีทิศทางตรงกันกับตำแหน่งของหมู่ดาวเข็มขัดนาย พราน เป็นต้น

นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเชื่อกันว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง

พูดถึง จุดสังเกตสำหรับยานอวกาศแล้ว อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงลายเส้นนาซกาแห่งเปรู ลายเส้นจำนวนมากมายหลายภาพ ทั้งภาพสัตว์ต่างๆ และลวดลายเรขาคณิตที่ทอดตัวยาวเหยียดในทะเลทราย ซึ่งไม่สามารถมองเห็นภาพได้ หากไม่มองลงมาจากฟ้า แล้วคนโบราณในสมัย 200 ปี ก่อนคริสตกาลสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร หากไม่มี "ใครสักคน" จากเบื้องบนมาให้คำแนะนำ

นอกจากอนุสรณ์ขนาดใหญ่เหล่านี้แล้ว ของชิ้นเล็กๆจากอดีตกาลก็สื่อความหมายไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะสิ่งของที่ถูกเรียกขานว่าเป็นวัตถุหลงยุค


หมู่พีระมิดกีซา ในอียิปต์.

วัตถุ หลงยุคในความเชื่อของนักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณนั้น หมายถึงสิ่งของที่โผล่อยู่ผิดที่ ผิดเวลา เป็นของที่ดูเหมือนลํ้าสมัย ไฮเทค ไม่น่าจะมีในยุคโบราณได้ แต่ก็มีให้เห็นเป็นหลักฐานกันมาแล้วนักต่อนัก โดยวัตถุหลงยุคที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่งเห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกขนานนามว่า เครื่องจักรกลแอนติคีเธอรา ซึ่งถูกค้นพบจากซากเรืออับปางทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะครีท ซึ่งทีแรกที่ถูกค้นพบใน ค.ศ.1900 นั้น ยังไม่มีใครสนใจซากบรอนซ์ผุก่อนนี้นัก จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา นักโบราณคดีได้สังเกตเห็นโครงร่างซี่ล้อในเศษซากที่ค้นพบ พร้อมข้อเขียนที่สลักไว้บนผลงานลึกลับชิ้นนั้นว่า มันถูกสร้างขึ้นในปีที่ 80 ก่อนคริสตกาลและในเวลาต่อมา มันก็ถูกพิสูจน์ว่า เป็นเครื่องจักรกลทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ จนบางคนเรียกขานมันว่าคอมพิวเตอร์แห่งกรีกโบราณ ซึ่งอาร์เธอร์ ซี คลาร์ก นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชื่อดังก็เคยกล่าวถึงมันว่า แม้จะเป็นของเก่าที่อายุเกินกว่า 2 สหัสวรรษแล้ว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ลํ้าหน้าเกินกว่าเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 18 และการที่มันถูกซ่อนอยู่ใต้นํ้ามาเป็นเวลานับพันปี ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากพอจะมีความหวังว่ามนุษย์เราจะพบยานอวกาศจากอดีตอันไกลโพ้น หรือสิ่งประดิษฐ์ใดๆของมนุษย์ต่างดาวแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะจมอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกที่เรายังสำรวจไม่ทั่วถึงนั่นเอง

นอกจาก เครื่องจักรกลแอนติคีเธอราที่เป็นหลักฐานแสดงว่า น่าจะเคยมีเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการและสุดยอดเทคโนโลยีเคยมาเยือนเราเมื่อ หลายพันปีก่อนแล้ว อีกหลักฐานหนึ่งที่เป็นที่ฮือฮากันมาก ก็น่าจะเป็นหลอดไฟในยุคอียิปต์โบราณ


เครื่องจักรกลแอนติคีเธอรา.

งาน นี้ไม่ได้มีของเป็นชิ้นๆมาให้เห็น แต่ หลักฐานอยู่ในรูปสลักของวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงฟันธงลงไปว่า ก่อนที่โธมัส อัลวา เอดิสัน จะประกาศตัวเป็นผู้ประดิษฐ์ หลอดไฟในโลกยุคใหม่นั้น  ชาวอียิปต์โบราณเขามีหลอดไฟใช้กันมานานแล้วล่ะลุง แล้วเทคโนโลยีนี้จะมาจากไหนได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเอามาให้

คน ที่เชื่อในเรื่องนี้บอกว่า ไหมล่ะ สงสัยมานานแล้วเชียวว่า ในพีระมิดน่ะ ทั้งมืด ทั้งแคบ แล้วนักแกะสลักรูปภาพอียิปต์เข้าไปทำงานในที่มืดๆอย่างนั้นได้ยังไง จะว่าจุดคบไฟก็ไม่เคยมีการพบเขม่าควันในพีระมิด ว่าแล้วหลอดไฟก็เป็นคำตอบที่ให้ความกระจ่าง

ถึงกระนั้น คนขี้สงสัยยังซักต่ออีกว่า ไอ้ที่ว่ามีหลอดไฟใช้กันมาตั้งหลายพันปีแล้วน่ะ จะไปเอาไฟฟ้าจากไหนมาให้พลังงานกับหลอดไฟกันล่ะ งานนี้มีคำตอบ อีริค ฟอน ดานิเก้น นักเขียนผู้สร้างทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศบอกว่า ก็มาจากแบตเตอรี่น่ะสิ


ภาพที่แสดงถึงหลอดไฟในยุคอียิปต์โบราณ.

งาน นี้มีหลักฐานยืนยันอีกแล้ว เพราะมีการค้นพบภาชนะรูปร่างคล้ายแจกัน ภายในบรรจุถ้วยกระบอกทองแดงและแท่งเหล็ก มันเป็นวัตถุโบราณของเมืองแบกแดด จากช่วงเวลาประมาณ 240 ปีก่อนคริสตกาลและในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง ที่มันถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า สิ่งนี้คือแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้

ว่าแล้ว อีริค ฟอน ดานิเก้น ที่สร้างสวนสนุกของตนเองขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ก็จัดการผลิตหลอดไฟที่เห็นในภาพขึ้นมาโชว์ให้เห็นกันจะจะว่า สามารถทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ลักษณะเดียวกับแบตเตอรี่แห่งแบกแดดนี้ ทำเอาฮือฮากันไปทั้งบางอีกแล้วว่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเคยมาอยู่อาศัยบนโลกเราแล้วล่ะก็ ของพวกนี้จะมาจากไหนกัน

ดานิเก้นและผองเพื่อนคอเดียวกันฟันธงฉับลงไป ว่า ต้องเคยมีผู้มาเยือนจากอวกาศมาอยู่อาศัยบนโลกของเรา อาจจะเป็นทั้งนาย ทั้งครู ผู้สอนวิทยาการ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาก็จากไป ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ค้นพบ แต่ที่มาก กว่านั้นก็มีนักคิดบางคนบอกว่า พวกเขามาอยู่ตั้งรกรากบนโลกของเราแล้ว อาจจะไม่ได้จากไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว แต่อาจจะทิ้งเชื้อสายไว้ดั่งเช่นที่หลายอารยธรรมของโลกมีตำนานเก่าแก่คล้ายๆ กันว่า เผ่าพันธุ์ของตนสืบสายมาจากเทพ หรือคนที่มาจากท้องฟ้า เช่น ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากษัตริย์ของตนสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ หรือคนเกาหลีที่เชื่อว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือฮวานอุง โอรสของเทพที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ ฯลฯ


ไม่แน่ว่า "ผู้มาเยือน" อาจมีจริงและพวกเขาจะยังคงหวนกลับมาอีก (ภาพจากThe District 9.)

จะ ว่าไปตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้ลงมาจากฟ้านี้ มีหลักฐานอยู่ด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ใน ค.ศ.1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งได้ขุดค้นถํ้าใกล้ชายแดนจีน-ทิเบต แล้วเจอที่ฝังศพแปลกๆเป็นโครงร่างกระดูกขนาดย่อม สูงประมาณ 4 ฟุต แต่หัวกะโหลกใหญ่ พร้อมด้วยแผ่นจานหินรูปร่างเหมือนแผ่น C จำนวนหนึ่ง ซึ่งจารึกตัวอักษรขนาดจิ๋วเอาไว้ ไม่นานต่อมาก็มีการแปลความหมายได้ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งจากฟากฟ้าตกลงมายังโลกของเราเมื่อ 12,000 ปีก่อน แล้วสร้างหมู่บ้านปักหลักอาศัยอยู่กลายเป็นบรรพบุรุษชาวจีนเผ่าโดรปา ที่อ้างเสมอมาว่า ตัวเองสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าต่างดาว

งานนี้นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณบอกว่า ไหมล่ะ ทำไมคนจีนถึงมีจำนวนมากกว่าใครในโลก ก็เป็นเพราะพวกเขา "มา" ก่อนใครไงเล่า...


ลายเส้นนาซกา ซึ่งต้องมองจากบนที่สูงจึงจะเห็นเป็นภาพ.


แผ่นจารึกแห่งโดรปา.
 

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมงาน ต่วย'ตูน
13 กันยายน 2552

5 ธ.ค. 52 เวลา 12:30 3,570 45 162
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...