เจาะลึกมหันตภัยร้าย “นิวเคลียร์” โรงงานเชอร์โนบิล"ยูเครน"

  เหตุการณ์แผ่นดินไหว 8.9 ริกเตอร์ และคลื่นยักษ์ “สีนามิ” ได้ถล่มเมืองเซนได

ซึ่ง ห่างจากจังหวัดมิยากิใน หมู่เกาะฮอนชู จนเมืองทั้งเมืองพังพินาศย่อยยับ ผู้คนเสียชีวิตพุ่งกว่าหมื่นคน และสูญหายไปร่วมหมื่นคน ดังที่คนทั้งโลกได้รับข่าวคราวด้วยความตกตะลึงและสะเทือนใจต่อประชาชนชาว ญี่ปุ่น

จนถึงขณะนี้ข่าวผลกระทบจากแผ่นดินไหวและ “สีนามิ” ยังได้รับทราบข่าวกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเกิดระเบิด เตาปฏิกรณ์ปรมาณู หมายเลข 1 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ตั้งอยู่ในเมืองโอคุมะ เขตฟุบาตะ จังหวัดฟูกุชิมา (ขนาดใหญ่ติด 1 ใน 25 ของโลก) ทำให้ชาวโลกและคนญี่ปุ่นต้องขวัญผวากันอีกครั้ง ซึ่งมีอยู่ 2 โรงได้แก่ หมายเลข 1 และหมายเลข 2 อยู่ใกล้กัน โดยหมายเลข 1 มีเตาปฏิกรณ์ 6 ตัว และหมายเลข 2 มีเตาปฏิกรณ์ 4 ตัว ทั้งนี้โรงไฟฟ้าหมายเลข 1-2 อยู่ห่างจากกรุงโตเกียว เมืองหลวงประเทศญี่ปุ่นเพียงแค่ 250 กม. ทำให้คนญี่ปุ่นและนานาชาติต้องกับมาช็อกด้วยความตกตะลึงถึงภัยอันตราของกมันตภาพรังสีของนิเคลียร์อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการระบุว่ารังสีส่วนใหญ่ถูกพัดพาออกไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกก็ตาม ล่า สุดทางการออสเตรเลีย ถึงกับออกโรงงแถลงทันควันว่า ประชาคมโลกต้องการทราบข้อมูลสรุปโดยด่วนเกี่ยวกับสถานการณ์เหตุระเบิดที่โรง ไฟฟ้านิวเคลียร์ พร้อมเร่งเสนอให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์แก่ ญี่ปุ่น นอกจากนี้คณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกา  ที่กำกับดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้รีบส่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเดือดเข้าไปช่วย เหลือทันที

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ระบุชัดว่า หากเกิดเหตุการณ์เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลายหรือเกิดการรั่วไหลของกัมมันตรังสี อาจ ทำให้มวลอากาศและไอน้ำในบรรยากาศ ที่มีฝุ่นกัมมันตรังสีปนเปื้อนแผ่ปกคลุมไปทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก จนอาจกระจายไปถึงชายฝั่งภาคตะวันตกของสหรัฐฯ อยู่ห่างจากประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 8,000 กม. อย่าง ไรก็ดีส่วนใหญ่การแผ่รังสีจะเกิดขึ้นในระดับพื้นดินเท่านั้น นอกจากนี้อาณาบริเวณของมหาสมุทรแปซิฟิกก็กว้างใหญ่ไพศาลจึงยังไม่หวั่นวิตก มากเท่าไรนัก   หาก ถอยหลังกลับไปประมาณ 20 ปี เหตุการณ์โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่เป็นข่าวคึกโครมไปทั่วโลก คงหนีไม่พ้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล( Chernobyl Nuclear Power Plant) 

ตั้ง อยู่ที่นิคมเชอร์โนบิล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองพริเพียต จังหวัดเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชอร์โนบิลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงาน นิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุด เกิดระเบิดขึ้นตอนเช้าตรู่ของวันที่ 26 เม.ย.2529 ที่เตาปฏิกรณ์ปรมาณู 1 ใน 4 ของโรงงาน

ขณะทีมวิศวกรได้ทำ การทดลองที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 โดยทดสอบว่าระบบทำความเย็นจะสามารถดึงกระแสไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์มาใช้อย่างไร หากเกิดกรณีไฟตกหรือพลังงานต่ำกว่าความต้องการ เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น และวิศวกรก็เพิ่มการทำงานของก้านสูบ แต่ ในเวลาไม่ถึง 1 นาทีระดับพลังงานก็เกิดมีปัญหา และเตาปฏิกรณ์ก็เริ่มร้อนเกินพิกัด สุดท้ายก็เกิดระเบิด มีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน!!

สภาพ หลังคาอาคารที่คลุมเตาปฏิกรณ์หลอมเปลี่ยนรูปเพราะความร้อน และปลิวหลุดออกไป ตามด้วยสิ่งที่อยู่ในเตาก็พวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ

อากาศ บริเวณโรงงานถูกปกคลุมไปด้วยสะเก็ดจากเตา หลังหายนะที่แสนอันตราย แต่ดูเหมือนไม่ร้ายแรง นักผจญเพลิงปีนขึ้นไปบนหลังคาของโรงงานเพื่อจะสยบเพลิงที่ลุกโชติช่วง ขณะเดียวกันเฮลิคอปเตอร์หลายต่อหลายลำก็ทยอยขนทรายมาใส่ในเตาเพื่อลดแรงไฟและกัมมันตรังสีที่แผ่ออกมา ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องกับกัมมันตภาพรังสีนั้นมีความเสี่ยงมาน้อยแค่ไหน แม้จะสามารถดับเพลิงสำเร็จ แต่ภายหลังทั้งหมดต่างจบชีวิตเพราะพิษกัมมันตภาพรังสี
  ขณะ นั้นมีการรายงานค่อนข้างช้าต่ออุบัติภัยดังกล่าว แม้ว่านานาประเทศในละแวกใกล้เคียงจะตรวจพบสารกัมมันตภาพรังสีลอยไปไกลหลาย ร้อยกิโลเมตร

ในเมื่อการขาดข้อมูลข่าวสารที่แท้ จริง ทำให้มีการอ้างความเสียหายแค่เพียงจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดจำนวนไม่ มาก ส่งผลให้ปัญหาการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีที่แจ้งข้อมูลล่าช้า จนทำให้กระจายวงกว้างไปในหลายพื้นที่นั้น

นับเป็นอุบัติภัยทาง นิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การใช้นิวเคลียร์ มีการกล่าวขานว่าหายนะภัยครั้งนี้ถูกประเมินว่ารุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ ถล่มนางาซากิและฮิโรชิมาในประเทศญี่ปุ่น เพราะสารกัมมันตภาพรังสียังคงปนเปื้อนอยู่ต่อเนื่อง แม้ว่าโรงงานเชอร์โนบิลจะปิดตัวลงแล้ว แต่ประชาชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งครอบคลุมทั้งพื้นที่เบลารุส ยูเครน และรัสเซีย มีเพียง 350,000 คนที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น

ปัจจุบัน สิ่งปนเปื้อนยังฝังแน่นอยู่ตามผืนดิน และหลังจากเกิดอุบัติเหตุระเบิด ก็พบกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่ในทุกๆ ประเทศที่เหนือขึ้นไปตามทิศทางลมที่พัดพา อย่างเช่นประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่ได้รับผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กันเพราะ อยู่ในทิศทางลมพอดี ในส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากผลพวงจากเหตุการณ์ระเบิดที่เชอร์โนบิล ที่ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุมีถึง 9,000 ราย เสียชีวิตด้วยมะเร็งอันเนื่องมาจากการรับสารรังสีเข้าไป แต่ทางกรีนพีซเชื่อว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพน่าจะมากกว่าที่ยูเอ็นคาดการณ์ไว้

โดยเฉพาะเสียชีวิตด้วยมะเร็งน่าจะสูงถึง 93,000 คน และโรคอื่นๆ อีกนับแสนคน โรคที่เห็นเด่นชัดว่าเป็นผลพวงมาจากการรั่วไหลของกัมมัตภาพรังสี คือ มะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ โดยพบมากถึง 4,000 คน ส่วนใหญ่กำลังเป็นเด็กและวัยรุ่นในช่วงที่เกิดเหตุระเบิด   บทเรียนจากเหตุการณ์การระเบิดที่โรงงานเชอร์โนบิล กลายเป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์ในการนำวิทยาการใหม่ๆมาใช้

ทำ ให้ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ตัดสินใจตั้งหน่วยรับมือฉุกเฉินที่กรุงเวียนนา ของประเทศออสเตรีย เมื่อปี พ.ศ.2529 มีอุปกรณ์การสื่อสารและคอมพิวเตอร์ ตลอดจนเอกสารและฐานข้อมูลที่จำเป็นในกรณีเกิดอุบัติเหตุสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล มีเจ้าหน้าที่ประจำการตลอด 24 ชั่วโมง และมีผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์พร้อมเดินทางไปยังที่เกิดเหตุใน ประเทศต่างๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยเหลือและประเมินสถานการณ์ทันที

ถึงแม้ว่าพลังงานของนิวเคลียร์จะมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็เป็นมหันตภัยของมนุษยช์ทั้งโลกเช่นกัน   แต่พลังงานนิวเคลียร์ที่มวลมนุษย์ยังจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ต่อโลกต่อไป เพียงแต่ว่าจะหาวิธีป้องกันภัยจากพลังนิวเคลียร์ได้มากน้อยเพียงใด

สำหรับ โครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังจะคิดดำเนินการในอนาคตนั้น  เหตุเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นในขณะนี้  อาจทำให้โครงการดังกล่าวจะหยุดชะงักลงไป  หรือทำให้โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ล่าช้าออกไปอีกนานแสนนาน

แต่ที่แน่ ๆ สักวันหนึ่งในอนาคตประเทศไทยคงหนีไม่พ้นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ดังเช่นประเทศอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว!!
      ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
17 มี.ค. 54 เวลา 12:29 5,304 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...