ฆาตกรโหดสะท้านโลก เอช. เอช. โฮล์มส์ (H.H. Holmes) หมอปีศาจ 3 end

 

จอร์เจียนา โย้ค ภรรยาคนที่สาม 
 
                แม้หมอโฮล์มส์จะฆ่าคนไปเยอะก็ตาม แต่เรื่องภรรยาหมอโฮล์มส์ยังมีพันธะผูกพันและทำหน้าที่ของสามีที่สมควรทำตลอดมา 
 
                ปี 1894 หมอโฮล์มส์แต่งงานใหม่อีกครั้ง (สมรสซ้อน) กับผู้หญิงชื่อจอร์เจียนา โย้ค 
 
                หมอโฮล์มส์ไปพบผู้หญิงผมทองร่างเล็กอายุ 23 ปี คนนี้เมื่อเดือนมีนาคม ในขณะที่เธอทำอาชีพเป็นเสมียนแผนกขายของห้างสรรพสินค้า ชาลซิงเกอร์และเมเยอร์ในชิคาโก แต่ในขณะนั้นหมอโฮล์มส์กำลังสารสำพันธุ์กับพี่น้องตระกูลวิลเลี่ยม จึงไม่มีโอกาสจีบจอร์เจียนามากนัก 
 
                แต่ทันทีที่หมอโฮล์มส์สังหารสองพี่น้องวิลเลี่ยมสำเร็จ หมอโฮล์มส์เลยหันเป้ามาสนใจผู้หญิงคนนี้ 
 
                แม้จอร์เจียนาเป็นผู้หญิงฉลาด แต่หมอโฮล์มส์นั้นฉลาดกว่า เขาหลอกเธอว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ร่ำรวย จากนั้นก็หมายหมั้นกันในเดือนพฤศจิกายน 1893 
 
                ในช่วงนั้นสถานกรณ์ของหมอโฮลืมส์ไม่ค่อยดีนัก เขาถูกบีบให้หลบหนีออกจากชิคาโก แต่ก่อนไปหมอโฮล์มส์อดไม่ได้ที่จะโกงเงินประกันภัยอีกครั้ง เขาทำประกันอัคคีภัยปราสาทของเขาด้วยวงเงินถึง 21,000 เหรียญโดยทำกับบริษัทประกันภัยถึง 4 แห่ง 
 
                เพียงไม่นานเกิดเพลิงไหม้ในปราสาท หมอโฮล์มส์เจ้าของปราสาทไม่ได้อยู่ในปราสาทในเวลานั้น แต่ลูกน้องที่ชื่อ แพท ควินแลนอยู่ 
 
                ผลจากการตรวจสอบความเสียหายพบว่าไฟลุกไหม้นั้นลุกพร้อมกัน 7 จุดในปราสาทเหมือนจงใจวางเพลิง 
 
                นอกจากนี้บริษัทประกันภัยต่างๆ ก็รู้ชื่อเสียงเรื่องการต้มตุ๋นของหมอโฮล์มส์ดี ท้ายสุดเคยปฏิเสธจ่ายเงินทดแทน แต่กระนั้นก็ไม่แจ้งความดำเนินคดีความหมอโฮล์มในข้อหาวางเพลิงแต่อย่างใด 
 
                และผลจากเพลิงไหม้ครั้งนั้น ทำให้เจ้าหนีหลายคนไล่ล่าหาตัวหมอโฮล์มส์อีกครั้ง มูลค่าหนี้ถึง 50,000 ดอลลาร์ 
 
                แต่หมอโฮล์มส์และคู่หูเบน พีทีเซล ไหวตัวทัน จึงรีบหนีออกจากชิคาโกไปหลบซ่อนที่อื่นหลายปี หมอโฮล์มส์แอบกลัยมาเยี่ยมลูกเมียหลายครั้ง แต่เบน พีทีเซลไม่กลับมาอีกเลย 
 
                เดือนมกราคม 1894 หมอโฮล์มส์ในชื่อเฮนรี แมนส์ฟีลด์ โฮวาร์ด แต่งงานกับจอร์เจียนาที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโรราโด และไปฮันนีมูนในเท็กซัส หมอโฮล์มส์จัดการขายทรัพย์สินที่ฮุบจากมินนี วิลเลียมส์เพื่อเอาเงินมาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา 
 
                ถึงอย่างไรหมอโฮล์มส์ยังไม่เลิกเป็นนักต้มตุ๋น เขาใช้ชื่อปลอมว่าเอช. เอ็ม. แพท็ทเช่าโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองเป็นที่พักและสำนักงานชั่วคราว แสดงเป็นนักลงทุนที่ร่ำรวย ต่อมาลงทุนสร้างสำนักงานขนาดใหญ่สูงสามชั้นบนที่ดินที่ฮุบมาจากเหยื่อ แล้วก็โกงแรงงานให้ทำงานฟรี สั่งซื้อของด้วยเงินเชื่อแลเอกสารปลอม หอลกลวงเงินจากพ่อค้าในพื้นที่เป็นเงินถึง 20,00  เหรียญ 
 
                ในเดือนมีนาคมหมอโฮล์มส์อยากลองเป็นโจรปล้นบ้าง เขาทำการดักปล้นรถบรรทุกม้าสายพันธุ์ดีเพื่อไปขายต่อยังเท็กซัส ตำรวจเท็กซัสไล่ตามหมอจนหนีเตลิดกลางดึก แทบเอาชีวิตไม่รอด 
 
                หมอโฮล์มส์พาจอร์เจียหนีไปเซ็นต์หลุยส์ โดยภรรยาเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าทำไมต้องหนี 
 
                ต่อมาหมอโฮล์มส์ก็ไปโกงที่เว็นต์หลุยส์อีก แต่คราวนี้หมอโฮล์มส์ทำพลาดโนจับเข้าคุกที่เซ็นต์หลุยส์ โดนขังคู่กับโจรปล้นรถไปชื่อดังนามเมอเรียน ซี. เฮดจ์เพท เจ้าของฉายา “จอมโจรรูปหล่อ” 
 
                คงเป็นเพราะความหล่อ ความดัง ของโจรคนนี้มั้ง ที่ทำให้โฮล์มส์รู้สึกอิจฉา เขาพยายามแสดงความร้ายกาจของตนเองทั้งหมดในชีวิตของเขาฟังให้เมอเรียนฟังทั้งหมดเพื่อข่มขวัญ 
 
                เมอเรียน เลยแอบนำข้อมูลที่ฟังทั้งหมดไปแจ้งตำรวจเพื่อขอลดหย่อนโทษ แต่ไม่ทันการเพราะหมอโฮล์มส์ได้รับการประกันตัวในวันที่ 28 กรกฎาคม และถูกคุมตัวเข้าคุกอีกครั้งในเดือนถัดมา เขาตรงรี่ไปหาจอร์เจียนา ซึ่งเธอไม่ได้รังเกียจเขาแต่อย่างใด เพราะสำหรับเธอแล้วหมอโฮล์มส์คือสามีที่ร่ำรวยแสนดีที่เธอค้นหามานาน 
เบน พิทีเซล 
 
                 
 
                เบน พีทีเซสหรือเบนจามิน เอฟ.พีทีเซล หรือเรียกสั้นๆว่า “ฟรีลอน” เป็นชายร่างยักษ์หัวอ่อน แต่ชอบเมาและอาละวาดบ่อยครั้ง 
 
                ก่อนที่เบนจะเจอหมอโฮล์มส์ เบนทำงานหลายรูปแบบ เป็นทั้งกรรมการท่าเรือ คณะละครสัตว์ ภารโรง กรรมการก่อสร้างทางรถไฟ โรงเลื่อยไม้ นอกจากนั้นก็เคยโดนจำคุกในคดีจี้ปล้น และปลอมแปลงเอกสาร 
 
                ในปี 1887 เบน พีทีเซลแต่งงานแบบเร่งรีบกับแครี แคนนิว บุตรสาวของนักบวชนิกายเมโทดิสต์ เพราะเขาดันไปทำให้เธอตั้งครรภ์ก่อนแต่ง ต่อมาทั้งสองมีลูกสองคนชื่อเดลซี และเอ็ตต้า และตามมาอีก 4 คน และตายไปอีกหนึ่งคนขณะยังเล็กเพราะโรคคอตีบ 
 
                ในปี 1889 เบน พีทีเซลสมัครเป็นช่างก่อสร้าง “ปราสาท”ของหมอโฮลมส์ และด้วยนิสัยที่เข้ากันอย่างกับผีกับโรงผุ ไม่นานพีทีเซลก็กลายเป็นมือขวาที่หมอโฮล์มส์ไว้ใจได้ นอกจากนั้นยังเป็นผู้คุ้มกันที่ดีด้วยความสูงกว่า 6 ฟุต 2 นิ้ว กล้ามเป็นมัด มือและเท้าใหญ่ ผมดกดำ หนวดขริบเป็นระเบียบ จนเป็นที่หวาดกลัวต่อคนอื่นที่คิดจะมายุ่งกับหมอโฮล์มส์ 
 
                จากหลักฐาน(ผสมกับการวิเคราะห์) พบว่าเบนพีเซสคนนี้อาจมีส่วนร่วมกับหมอโฮล์มส์ในในการฉ้อโกงโดยใช้ชื่อปลอมต่างๆ เช่น B.F.Perry, Bentoon, T.Lyman, Robert Jones และร่วมกันก่อกรรมทำเข็นเหยื่อ และอาจเป็นพยานคนเดียวที่รับรู้ความเป็นไปของหมอโฮล์มส์ทั้งหมดอีกด้วย 
 
                นอกจากนี้หมอโฮล์มส์ยังไว้วางใจเบนพีเซลพอสมควร จากหลักฐานพบว่า หมอโฮล์มส์โอนอสังหาริมทรัพย์บางชิ้นให้เบนถือครองแทนตน ขณะเดียวกันก็หักรายได้ของเบนไว้ อ้างว่าเป็นเงินสะสมของลูกเมีย ส่วนนางแครีและลูกๆ ต่างให้ความเคารพหมอโฮล์มส์เหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว 
 
                วันที่ 9 พฤศจิกายน 1893 หมอโฮล์มส์ลงทุนทำประกันชีวิตให้เบน พีทีเซลด้วยวงเงินถึง 10,000 เหรียญ กับบริษัทประกันภัยในฟิลาเดลเฟีย เขาเล่าแผนการให้เบนฟังว่าหลังส่งเบี้ยประกันงวดแรกตามสัญญา เบนจะหายไปจากฟิลาเดลเฟีย จากนั้นหมอโฮล์มส์จะหาศพชายอื่นมาปลอมแปลงเพื่อทำใบมรณะบัตรรับรองการตาย และใช้เป็นหลักฐานเพื่อเรียกเงินประกันจากบริษัท ขากนั้นก็นำมาแบ่งกันอย่างยุติธรรม 
 
                แผนการนี้หมอโฮล์มส์นิยมใช้บ่อยๆ เพราะว่าลงทุนน้อยไม่เสี่ยงอันตราย แต่สามารถหลอกเอาเงินประกันจำนวนมากๆ ได้ 
 
                สำหรับเบน ที่จริงเขาไม่ชอบแผนการนี้ของหมอโฮล์มส์สักเท่าไหร่ เพราะวันใดวันหนึ่งหมอโฮล์มส์อาจฆ่าเขาก็ได้ แต่กระนั้นเบนจำเป็นต้องทำเพราะครอบครัวกำลังจนตรอก ไม่มีเงินเลี้ยงลูก 
 
                หลังจากถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงบริษัทยาในเซ็นต์หลุยส์ และวันที่ 29 กรกฎาคม 1894 หมอโฮล์มส์ยังหนีไปอยู่กับจอร์เจียนาภรรยาคนที่สาม หลังจากนั้นเขากับภรรยาและเบนก็รีบจับขบวนรถไฟเพื่อทำประกันชีวิตและชำระเบี้ยประกันงวดแรกให้เบน โดยจงใจชำระสำนักงานใหญ่ในฟิลาเดลเฟีย เนื่องจากเป็นบริษัทประกันใหญ่ไม่ยุ่งยากและได้เงินเร็ว 
 
                เบนใช้ชื่อในการทำประกันว่า บี.เอฟ.เพอรี 
 
                ระหว่างรอให้กรมธรรม์ประกันชีวิตมีผลบังคับใช้ เบน พีทีเซลได้เช่าบ้านหลังเล็กๆ เปิดสำนักงานขายสิทธิบัตร แต่ไม่มีลูกค้ามากนัก เขาจึงทำอาชีพเสริมเป็นช่างซ่อมอาคาร รับงานเล็กๆ น้อยๆ ในชุมชนแถบนั้นไปพลางๆ 
 
                บ่ายวันอาทิตย์ 2 กันยายน ขณะที่เบนเมาพับสุโขอยู่ในบ้าน หมอโฮล์มส์ปรากฏกายอย่างเงียบๆ พร้อมยาดมสลบพิษร้ายแรงคลอโรฟอร์ม 
 
                หมอโฮล์มส์ต้องฆ่าเบนเหมือนเหยื่อรายอื่นๆ ที่เขาเคยฆ่า หมอโฮล์มส์ได้สารภาพเรื่องนี้ว่า 
 
                “ฉันจำเป็นต้องฆ่าเขาเช่นนี้ เพราะถ้าเป็นวิธีอื่นเขาอาจดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนได้ ฉันจึงค่อยๆ มัดมือและขณะที่เขาสิ้นสติ จากนั้นฉันก็ราดเบนซิลลงบนเสื้อผ้าและใบหน้าของเขาจนชุ่ม แล้วจุดด้วยไม้ขีดไฟ มันช่างเป็นวิธีฆ่าที่ไร้น้ำใจที่สุด จนบัดนี้ฉันยังรู้สึกละอายใจตนเองมากที่ทำเรื่องแบบนั้น มันน่าเหลือเชื่อมากว่ามนุษย์คนหนึ่งจะกระทำกับมนุษย์ด้วยกันได้โฉดชั่วไร้มนุษย์ธรรมได้ถึงเพียงนี้... 
 
                ฉันได้ยินเสียงคนสนิทฉันร้องขอความเมตตา สวดอ้อนวอนและท้ายสุดก็ขอร้องให้ฆ่าเขาได้ทันที แต่ทั้งหมดนี้ไม่ก่อปฏิกิริยาในจิตใจฉันเลย จนท้ายสุดเมื่อเขาตายฉันจึงจัดแจงศพของเขาให้ดูประหนึ่งว่าเหตุการณ์ตายของเขานั้นเกิดจากอุบัติเหตุ” 
 
                ศพของเบน พีทีเซล ถูกพบในอีกสองวันต่อมา สภาพศพเหมือนตายอย่างสงบ ท่อนบนเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วและแทบจำศพไม่ได้ว่าเป็นของเบน จากรายงานผลการชันสูตรเขียนไว้ว่า 
 
                “ผู้ตายมีลิ้นบวมคับปาก ของเหลวสีแดงไหลออกจากปาก หากกดท้องหรือขยับศีรษะเพียงเล็กน้อยของเหลวก็ไหลมาอีก หนวดคิ้ว ผมด้านข้ามไหม้เกรียม” 
 
                ตำรวจเชื่อว่าเกิดการระเบิดลุกไหม้ แต่แพทย์ไม่แน่ใจจึงส่งศพไปหน่วยงานระดับสูงเพื่อผ่าชันสูตรโดยละเอียดต่อไป 
 
                ผลการชันสูตรในเวลาต่อมาพบคลอโรฟอร์มจำนวนหนึ่งในกระเพาะอาหาร ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเขาตายเพราะคลอโรฟอร์มท่วมปอด แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่า 
 
                ศพของเบน พีทีเซลถูกเก็บรักษาในห้องเย็น 11 วัน ไม่มีใครอ้างตัวเป็นญาติขอรับศพ จึงถูกนำไปฝัง หมอโฮล์มส์กล่าวเรื่องนี้ว่า 
                “ฉันตั้งใจฆ่าเบน ส่วนพฤติกรรมต่างๆ ที่ฉันแสดงออกกลับครอบครัวของเบน เช่น เป็นห่วงเป็นใย การให้เบนถือทรัพย์สิน การให้เงิน ล้วนทำด้วยเจตนาให้เขาและคนครอบครัวไว้วางใจฉัน จนกว่าได้จะถึงเวลาสุขงอมพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว” 
 
                หลังจากฆ่าเบน พีทีเซลสำเร็จ หมอโฮล์มส์ก็เรียกร้องขอรับเงินประกันชีวิตทันที และปฏิบัติประกันก็ปฏิเสธทันทีเหมือนกันเพราะหมอโฮล์มส์มีประวัติดังในวงการต้มตุ๋น โดยเฉพาะเรื่องการรับรองการตายเป็นเท็จ บริษัทเชื่อว่าศพนั้นไม่ใช้เบน พีทีเซล อาจเป็นศพของคนอื่นที่หมอโฮล์มส์สวมรอยก็ได้สวมรอยก็ได้ ส่วนเบนตัวจริงอาจหนีไปหลบซ่อนที่อื่น 
 
                หมอโฮล์มส์ต้องท้าพิสูจน์ด้วยการเอาทนายความเป็นพยาน ร่วมกับตัวแทนบริษัทประกันชีวิต และทายาทของผู้ตายคืออลิซ พีทีเซล ลูกสาววัย 15 ปีของเบน 
 
                และเพื่อประกันให้เด็กสาวจะไม่ตีตนออกห่าง หมอโฮล์มส์ทำการบังคับให้เด็กสาวมีเพศสัมพันธ์กับเขาก่อนจะเธอไปดูการชันสูตรศพของบิดา และหลอกล่อใช้ประโยชน์จากเธอจนวาระสุดท้ายก่อนจบลงด้วยการฆ่าเธอทิ้งในหลายเดือนต่อมา 
 
                หมอโฮล์มส์พาอลิซไปสถานที่เก็บศพ แต่เบน พีทีเซลมีสภาพเน่าเปื่อยจนจำไม่ได้ อลิซกลัวจนสติฟั่นเฟือน เจ้าหน้าที่ต้องพาเธอออกไปข้างนอก ปล่อยให้หมอโฮล์มส์ทนายความ จัวแทนประกันชีวิต และแพทย์ผู้ชันสูตรศพทำการค้นหาตำหนิ 4 จุดบนร่างศพเพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวตนเของเบน พีทีเซล อันได้แก่ เล็บ หัวแม่มือผิดรูป เนื้องอกขนาดใหญ่ที่หลังคอ แผลเป็นที่ขา และประวัติการทำฟัน 
 
                แต่เพราะศพมันเน่ามากๆ ทำให้ไม่สามารถระบุตำหนิดังกล่าวได้ แพทย์เลยประกาศว่าไม่สามารถระบุว่าผู้ตายดังกล่าวเป็นใคร หมอโฮล์มส์โกรธมาก เขาถอดเสื้อผ้าออก หยิบถุงมือยางมาสวม ดึงมีดผ่าตัดส่วนตัวจากกระเป๋ากางเกง จับศพคว่ำหน้า ใช้มีดตัดเสื้อผ้าด้านหลังขาดจากกัน ราดน้ำยาล้างต้นคอศพแล้วเอามีดกรีดเนื้อที่ต้นคอหลุดออกมา ชี้ให้ทุกคนดูว่านี้คือเนื้องอกชิ้นใหญ่ที่เป็นตำหนิประจำตัวของเบน พีทีเซล 
 
                จากนั้นเขาแสดงให้เห็นรอยแผลเป็นที่ขา กับเล็บหัวแม่มือที่มีรูปลักษณะผิดปกติ เขาใช้มีดตัดหัวแม่มือศพยื่นให้แพทย์ชันสูตรดูอย่างสะใจ บอกให้เอาไปดองเก็บไว้ดูเล่น 
 
                ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำผ้ามาปิดศพให้มิดชิด เหลือเพียงบริเวณปาก อลิซถูกนำตัวไปยังห้องเพื่อยืนยันร่องรอยการทำฟันของบิดา เธอทำให้ตัวแทนประกันเชื่อว่านี่คือศพของเบน พีซีเซลตัวจริง 
 
                วันรุ่งขึ้นบริษัทประกันชีวิตจายเงินประกันให้เป็นเงินกว่า 9,715.85 เหรียญ จ่ายค่าพิสูจน์ศพไป 2,500 เหรียญ เงินที่เหลือหมอโฮล์มส์ยึดเป็นของตนเองเกลี้ยง ส่วนภรรยาและลูกของเบน พีทีเซลได้เพียงใบเสร็จรับเงินที่ไม่มีค่าอะไรเลย 
 
                หมอโฮล์มส์อ้างว่าเงินจำนวนนี้เขาเอาไปใช้จ่ายหนี้ของผู้ตาย 
 
                 
 
แต่แล้วหมอโฮล์มส์กับต้องเจอวิบากกรรมอีกจนได้ เมื่อโจรรูปหล่อเมอเรียน เฮดจ์เพท ผู้ซึ่งได้รู้ความชั่วของหมอโฮล์มส์จนหมดเปลือกมาขอแบ่งเงินก้อนใหญ่จำนวนนี้จากหมอโฮล์มส์ 
 
หมอโฮล์มส์ปฏิเสธ ทำให้เมอเรียน เฮดจ์เพทต้องออกมาแฉจนไปสู่จุดจบของหมอโฮล์มส์ในเวลาต่อมา (เขาส่งจดหมายแฉไปยังบริษัทประกันภัยฉบับหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจฉบับหนึ่ง) 
 
หลังบริษัทประกันชีวิตและตำรวจได้อ่านจดหมาย ก็เริ่มคุ้ยทำคดี โฮมส์จำต้องหนีกฎหมายอีกครั้ง จากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่ง ตั้งแต่มิดเวสท์ เลาะฝั่งตะวันออกขึ้นไปแคนาดา โดยพาภรรยาคนที่สามจอร์เจียนา กับนางแครี พีทีเซล และลูกๆ ร่วมขบวนไปด้วยกัน โดยอ้างกับจอร์เจียนาว่าเดินทางไปติดต่อธุริกจ ส่วนอ้างกับนางแครีว่าจะพาเธอไปพบสามีที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกล 
 
และด้วยความอัศจรรย์ นางเจอร์เจียนาและนางแครี พีทีเซลกับลูกสองคนได้เดินทางกับหมอโฮล์มส์ไปพร้อมกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน และไม่เคยสงสารเลยว่าอีกฝ่ายมากับหมอโฮล์มส์ด้วย ทั้งสองพักโรงแรมเดียวกัน ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งพร้อมกัน โดยมีหมอโฮล์มส์วิ่งรอกไปทางโน้นที ทางนี้ที 
 
ที่น่าอัศจรรย์ไปกว่านั้น หมอโฮล์มส์ยังพาลูกของนางแครีอีกสามคนเดินทางไปด้วย โดยบอกพวกเด็กๆ ว่าจะพาไปฝากญาติเลี้ยง โดยที่ทั้งสามกลุ่มต่างไม่เห็นกันไม่พบกัน 
 
คนทั้งสามกลุ่มถูกหมอโฮล์มส์เล่นละครชักนำไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองเบอร์ลิน รัฐเวอร์มอนต์  ตอนแรกหมอโฮล์มส์คิดกำจัดนางแครีเพื่อลดภาระ แต่นางแครีไหวตัวทัน ทำให้เธอและลูกสองคนรอดตายอย่างหวุดหวิด 
 
วันที่ 31 ตุลาคม นักสืบไล่ตามหมอโฮล์มส์ทันที หลังได้ข่าวว่าเขาอยู่ในเมืองกิลแมนตันในรัฐนิวแฮมเชียร์ บ้านเกิดของเขา หมอโฮล์มส์ต้องย้อนกลับบ้านเกิด พ่อแม่ของโฮล์มส์ตกใจมากที่เห็นลูกชายที่ได้ข่าวว่าตายแล้ว กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง หมอโฮล์มส์ใช้ลิ้นสองแฉกแก้ตัวว่าหลายสิบปีมานี้เขาสูญเสียความทรงจำเพราะศีรษะถูกฟาดเพราะโจรปล้น เขาจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร กว่าจะได้ความจำกลับมาก็ไม่นานมานี้เอง และสิ่งแรกที่เขาจำได้คือพ่อแม่ที่เขารักยิ่ง(โกหก) 
 
นิยายน้ำเน่านั้นทำให้แม่ของเขาเชื้อสนิทใจ 
 
ด้านตำรวจก็เริ่มประสานงานกันเพราะกลัวว่าเขาจะหนีออกนอกประเทศ หมายจับหมอโฮล์มส์ปลิวว่อนโดยของรัฐฟิลาเดลคือฉ้อโกง ส่วนของรัฐเท็กซัสปล้นม้า 
 
ครอบครัวพิทีเซล 
      ครอบครัวของเบนพิทีเซลมีสมาชิกในครอบครัว 7 คน 
 
สามารถนี้ประกอบด้วย เบน พิทีเซล หัวหน้าครอบครัว ภรรยาแครี พีทีเซล และลูกๆ อีก 5 คน 
 
ในบรรดาลูกๆ ทั้งห้า อลิซ พิทีเซล ลูกสาวคนที่สอง วัย 15 ปี นับว่าโชคร้ายสุด เพราะเธอถูกหมอโฮล์มส์ข่มขืน และใช้เธอเป็นเครื่องมือหลอกเอาเงินประกัน ที่หมอโฮล์มส์เลือกอลิซเพราะเธอไร้เดียงสา หลอกง่าย หากเอานางแครีไปยืนยันศพเบน พีทีเซล เธออาจเห็นพิรุธและโวยวายว่าเบนถูกฆาตกรรม 
 
หลังจากกลับมาจากฟิลาเดนเฟีย หมอโฮล์มส์บอกแครีว่าอันที่จริงเบนไม่ตาย เขาพูดจาโน้นน้าวให้นางแครีทิ้งลูกสองคน คือโฮเวิร์ดและเนลลีไว้ให้เป็นเพื่อนกับอลิซ เพื่อให้เธอเดินทางไปพบสามีได้โดยสะดวก และไม่เป็นที่สังเกตของตำรวจ ด้วยคำพูดของหมอโฮล์มส์ฟังดูมีเหตุผลทำให้นางแครีจึงยอมให้อลิซ โฮเวิร์ด และเนลลีอยู่ในการดูแลของหมอโฮล์มส์ ในช่วงเวลาที่เธอลักลอบไปพบสามี หมอโฮล์มส์บอกเธอว่าได้ฝากลูกทั้งสามไว้กับญาติสนิทเพื่อว่าเขาจะสามารถเดินทางร่วมไปกับนางแครีได้ 
 
ความจริงสามีของนางแครีถูกฆ่าแล้ว โดยอลิซร่วมเป็นพยานยืนยันศพ 
 
ความจริงอีกคืออลิซ โฮเวิร์ด และเนลลี ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับญาติของหมอโฮล์มส์ แต่เด็กทั้งสามเดินทางไปกับแม่ไปยังเมืองต่างๆ โดยรถไฟขบวนเดียวกันแต่เป็นคนละตู้ พักคนละห้อง 
 
และด้วยเด็กทั้งสามนั้นเป็นภาระมาก และเป็นการยากในการเล่นละครสลับฉากไปมา หมอโฮล์มส์เลยตัดสินใจฆ่าเด็กทั้งสาม 
 
ตอนที่หมอโฮล์มถูกจับกุม ตำรวจพบกล่องดีบุก บรรจุจดหมายห่อใหญ่จากอลิซและเนลลี เขียนถึงแม่และยายแต่ไม่เคยถูกส่งถึงมือผู้รับเนื้อความในจดหมายนั้นช่วยให้ตำรวจได้หลักฐานพยานประกอบหลายชิ้นหลายคน 
 
หมอโฮล์มส์เช่าห้องให้เด็กๆ ทั้งสามอยู่อาศัยระหว่างเดินทางไปพบพ่อ(ซึ่งตายแล้ว) เด็กชายโฮเวิร์ด พีทีเซล ทำให้หมอโฮล์มหงุดหงิดใจมากที่สุด เพราะชอบจู้จี้ขี้บ่นเรื่องที่พักคับแคบ โฮเวิร์ดเลยถูกฆ่าเป็นคนแรก 
 
วันที่ 3 ตุลาคม หมอโฮล์มส์วางแผนให้โฮเวิร์ดช่วยเขาถืออุปกรณ์ผ่าตัดบางชิ้น เช่นมีดและเลื่อย นำไปลับให้คมที่ร้านลับมีด แต่หลังจากนั้นโฮเวิร์ดก็หายไป หมอโฮล์มส์บอกเด็กหญิงทั้งสองที่เริ่มขวัญเสียว่าโฮเวิร์ดทนอึดอัดไม่ไหว ขอไปพักอยู่บ้านญาติ อันที่จริงหมอโฮลืมส์พาโฮเวิร์ดไปยังกระท่อมเล็กๆ แห่งหนึ่งในอินเดียนาโปลิส เขตชนบทชานเมืองเออร์วิงตัน หลังจากเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย โฮเวิร์ดถูกลอบวางยา หมอโฮล์มส์เล่าว่า 
 
“ทันทีที่ยาออกฤทธิ์ เด็กน้อยหยุดหายใจ ฉันตัดร่างของเขาออกเป็นชิ้น ยัดลงไปในเตาหุงต้ม โดยมีก๊าซและซังข้าวโพดเป็นเชื้อเพลิง ฉันเผาชิ้นส่วนของเขาทีละชิ้นอย่างใจเย็นประดุจว่ามันเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง” 
 
ตำรวจทำการค้นบ้านหลังนั้นในเวลาต่อมา ตำรวจพบชิ้นส่วนต้นขาสะโพก กะโหลกอยู่ในเตา และยังมีอวัยวะบางส่วนที่ไหม้ไม่หมดแห้งติดอยู่ในเตา เช่นกระเพาะ ตับ และม้าน นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องแต่งกายของเด็กน้อยอยู่ในกระท่อมด้วยเช่นกัน 
 
25 ตุลาคม หมอโฮล์มส์พาอลิซและเนลลีเดินทางโปโตรโต เช่าบ้านบนถนนวินเซอร์ให้เด็กพักอาศัย เขาเล่าว่า “ฉันบังคับเด็กสองคนเข้าไปในหีบใบใหญ่ๆ ที่มีรูเล็กๆ บนฝาหีบ ฉันปิดฝาและปล่อยเด็กไว้เช่นนั้นขณะออกไปข้างนอกหาความรื่นรมย์จนกว่าจะถึงเวลาที่ฉันนึกอยากจะกลับมาฆ่าเด็ก ห้าโมงเย็น ฉันยืนจอบจากเพื่อนบ้าน และโทรศัพท์คุยกับแครีแม่ของเด็กอย่างสนิทสนม จากนั้นออกไปกินอาหารมื้อเย็น หนึ่งทุ่มฉันกลับไปพบแครีที่โรงแรม ช่วยเธอขนของเดินทางออกจากโตรอนโดกลับไปยังนิวยอร์ก” 
 
นางแครีไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าขณะที่เธอกำลังซึ้งน้ำใจหมอโฮล์มส์อยู่นั้น ลูกสาวสองคนของเธอกำลังอ้าปากพะงาบๆ หาอากาศหายใจอย่างทรมานในหีบที่ห่างออกไปไม่ไกล 
 
สองทุ่มกว่าๆ หมอโฮล์มส์กลับมาที่บ้านเช่าอีกครั้ง 
 
“ฉันจบชีวิตเด็กทั้งสองโดยแหย่ก๊าซเข้าไปในรูเล็กๆ บนฝาหีบ ฉันมองดูหน้าเด็กๆ ที่เขียวคล้ำเพราะขาดอากาศและพยายามสูดหายใจจนใบหน้าบูดเบี้ยว เมื่อเด็กทั้งสองตายฉัดขุดหลุมตื้นๆ ที่พื้นดินในห้องใต้ดิน ถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าของศพอย่างไร้น้ำใจ ฉันโยนร่างทั้งสองลงไปในหลุมให้เนื้อหนังมังสาสัมผัสกับความเย็นเฉียบของพื้นดินโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ฉันรู้สึกปีติที่ได้เห็นภาพเช่นนั้น” 
 
ตำรวจพบศพในอีกหลายเดือนถัดมา ศพของอลิซนอนตะแคงหัวหน้าไปทางทิศตะวันตก เนลสีนอนคว่ำ มีเพียงเปียผมปกปิดแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า ตำรวจยกร่างเนลลีขึ้นก่อนเพราะเธอนอนทับพี่สาว แต่โดยสภาพศพที่อยู่ในสภาพเน่าเปื่อยมาก น้ำหนักของเปียผมได้ดึงหนังกระโหลกหลุดออกจากศีรษะ ตำรวจจึงค่อยๆ ใช้ผ้าสอดเข้าไปใต้ศพแล้วยกขึ้นพร้อมกัน 
 
ศพของเด็กหญิงทั้งสองถูกตำรวจนำไปฝังที่สุสานเซนต์ เจมส์ 
จุดจบ 
 
 
               ตั้งแต่หมอโฮล์มจับกุมดำเนินคดี จนถึงวันประหารชีวิต หมอโฮล์มส์ให้การสารภาพครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเปลี่ยนเนื้อหาเรื่อยๆ แม้แต่คำให้การในศาลก็ยังไม่คงเส้นคงวา อีกทั้งหลักฐานที่ตำรวจพบก็ไม่สามารถปะติดปะต่อว่าหมอโฮล์มส์เป็นคนฆ่าจริงเหรอ? จนตำรวจหลายคนยอมรับว่าหมอโฮล์มส์เป็นนักโกหกที่ยิ่งใหญ่ เรื่องเล่าของเขามันมีสีสัน รายละเอียดถูกแต่งเดิมจนหลายคนเชื่อในเรื่องที่เขาเล่า 
 
 
 
หมอโฮล์มส์ถูกจับกุมในวันที่ 27 พฤศจิกายน 1894 ที่เมืองบอสตัน โดยฝีมือนักสืบที่ร่วมมือกับตำรวจ 
 
ครั้งแรกหมอโฮล์มส์รับสารภาพว่าเขาฉ้อโกงในฟีลาเดลเฟียจริงเพราะไม่อยากเข้าคุกเท็กซัส และเขายังใส่ร้ายป้ายสีนางแครี พิทีเซลจนเธอถูกจับดำเนินคดีด้วย 
 
20 กรกฎาคม 1895 ตำรวจชิคาโกพบเงื่อนงำวัตถุพยานที่นำไปสู่การฆาตกรรมต่อเนื่องใน “ปราสาท” ของหมอโฮล์มส์  สื่อมวลชนประโคมข่าวแบบใหญ่โต และยิ่งค้นหาหลักฐานมากเท่าไหร่ ข้อเท็จจริงยิ่งมากขึ้นเท่านั้น กลายเป็นว่าหมอโฮล์มส์กลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมากที่สุดในหลายปีที่ผ่านมา สื่อมวลชนเริ่มเห็นโอกาส ทำหนังสือ ทำพิพิธภัณฑ์ เกี่ยวกับหมอโฮล์มส์ และบางสำนักพิมพ์ก็ทำหนังสือแปลเป็นภาษาต่างๆ เพื่อส่งออกไปขายในต่างประเทศ 
 
ช่างฤดูร้อน 1895 หมอโฮล์มส์ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ “หมอโฮล์มส์เล่าเอง” โดยมีเจตนาเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตนเองดีขึ้น จนสาธารณะชนเกิดความเห็นอกเห็นใจคล้อยตามเนื้อหาหนังสือที่เขาอ้างว่าเขาฆ่าคนเพราะความชอบธรรม หมอโฮลืมส์เล่ารายละเอียดชีวิตความเป็นอยู่ของตน หนังสือสะท้อนว่าตัวตนของเขามีปีศาจสิง ทำให้เขาชอบโกหก  กลับกลอกไปเพื่อสร้างภาพตนเอง 
 
แน่นอนเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือหลายส่วนโกหกและแต่งขึ้นเอง 
 
ในเรื่องแต่งที่โฮล์มส์เขียนขึ้น จะเห็นได้ว่าเขาคือคนที่มีความสามารถที่เก่งกาจ อุดมไปด้วยปัญญา ไหวพริบมากมาย เพื่อช่วงชิงชัยชนะจากเหล่าตำรวจ และศัตรูที่จ้องล้างแค้น เขาต้องสู้อุปสรรค์เหล่าคนร้ายคนเล่า ในสถานการณ์ที่เสี่ยงภัย จนนักวิจารณ์กล่าวว่าหมอโฮล์มส์น่าจะเอาดีทางเขียนนิยายมากกว่าจะจับมีดเหมอมากกว่า 
 
ตามเนื้อหาของเขา หมอโฮล์มพยายามเล่าเรื่องที่เขาต้องทนทุกข์ห้องขัง เขาเล่าว่ามีแต่ช่องหน้าต่างแคบๆ ให้แสงแดดส่องเพียงบานเดียว ทางเข้าติดตรึงด้วยลูกกรงเหล็ก ที่นอนเขากระด้างเหมือนยัดด้วยฟาง อีกทั้งเขาโดนจำกัดการเขียนจดหมายซึ่งเขาให้ส่งจดหมายได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น นั้นทำให้เขาเครียดมากๆ จนน้ำหนักขึ้น 10 กิโลกรัม จนรู้สึกว่าเขาด้อยค่าไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สุด เหนือความทุกข์ใดๆ ที่ประสบมา 
 
หลังคดีฉัอโกง หมอโฮล์มส์ถูกนำตัวมาขึ้นศาลอีกครั้งในข้อหาฆ่า เบนจามิน พิทีเซล นอกจากนี้ยังมีหลายคดีในท้องที่อื่นๆ เช่น สาลโตรอนโตในคดีสังหารอลิซและเนลลี พีทีเซล ศาลอินเดียนาโปลิสในคดีฆ่าโฮเวิร์ด พิทีเซล ศาลชิคาโกในคดีสังหารเหยื่อมากมายที่”ปราสาท” 
 
ตอนแรกหมอโฮล์มส์ว่าจ้างทนายแก้ต่างสองคน และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด แม่ของหมอโฮล์มส์เขียนจดหมายถึงหมอโฮล์มส์ว่า “พูดความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แต่หมอโฮล์มส์ไม่สนใจคำแม่ 
 
วันที่ 28 ตุลาคม 1895 คดีของหมอโฮล์มส์เกิดอลวนเมื่อทนายความทั้งสองปฏิเสธการทำหน้าที่เพราะศาลไม่ยืดเวลาออกไปอีกสองเดือนตามที่ทนายความขอเพราะเตรียมคดียังไม่เสร็จ ผู้พิพากษาจะเพิกถอนสิทธิในการทำอาชีพทนายความหากบิดพลิ้วไม่ยอมว่าความ 
 
แต่แล้วหมอโฮล์มส์ก็หักเหลี่ยมศาลโดยไล่ทนายความออกโดยอ้างว่าไม่พอใจกับการทำงานและเขาขอจ้างทนายความชุดใหม่เข้ามาแทน แต่ศาลไม่ยอมรับคำแก้ตัว สั่งให้ทนายความชุดเดินทำงานต่อไป กระนั้นทนายความคนหนึ่งก็ประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องพิจารณาคดี หมอโฮล์มส์เลยทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ศาลอเมริกา 
 
หมอโฮล์มส์ขอต่อศาลขอเป็นทนายแก้ต่างตนเอง 
 
แนวคิดของโฮล์มส์ได้กลายเป็นต้นแบบให้ฆาตกรรายอื่นๆ เลียนแบบในเวลาต่อมา ศาลรับฟังเพราะตามกฎหมายอเมริกาทุกคนมีเสรีภาพ และเมื่อโฮล์มส์กลายเป็นทนายแก้ต่างตนเอง เขาใช้ลีลาว่าความทำให้ทนายมืออาชีพเป็นต้องอาย มีทั้งมุกหลอกล่อที่สะท้อนถึงความเป็นเจ้าห์เพทุบายของเขาได้เป็นอย่างดี 
 
เมื่อการพิจารณาคดีเริ่มต้น อัยการเปิดเผยเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจแม้แต่หมอโฮล์มส์ต้องอิ่ง(มันหาหลักฐานจากไหนเนี้ย) เขาพยายยามวางแผนแก้ต่างกับทนาย แต่แทบหาทางต่อสู้ไม่ได้เลย อัยการเล่นเกมโดยบอกถึงวิธีการฆ่าเบน พิทีเซลแบบเลือดเย็นเพื่อเอาเงินประกัน พร้อมพิสูจน์ว่าศพที่พบคือเบน พิทีเซลตัวจริง ไม่ใช้ศพคนไข้ที่หมอโฮล์มส์มาสวมรอยตามที่อ้าง และเบน พีทีเซลตายเพราะถูกวางยา ไม่ใช้ฆ่าตัวตายและอุบัติเหตุ และอธิบายเหตุจึงใจมากมายที่ทำให้หมอโฮล์มส์จงใจฆ่ามือขวาของตน 
 
ตรงกันข้ามฝ่ายจำเลยไม่มีหลักฐานพยาน มาหักล้างของฝ่ายโจทก์ หมอโฮล์มส์ใช้วิธีชี้แจงแบบสั้นๆ ว่า “โต้ถียงก็เปลืองพลังงาน เพราะคณะลูกขุนที่ใจเป็นกลางย่อมเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเบน พิทีเซลฆ่าตัวตาย ไม่ใช้ฆาตกรรม” 
 
หมอโฮล์มส์พยายามกล่าวโน้มน้าวคณะลูกขุนให้เชื่อว่าเรื่องที่อัยการเล่าเป็นเพียงนวนิยายที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของอัยการ อุดมไปด้วยฉากสยองหนัง เหมาะที่จะไปสร้างภาพยนต์มากกว่าเรื่องจริงที่จะมาเล่าในศาล แต่ผู้พิพากษากล่าวคณะลูกขุนว่า “บางครั้งเรื่องเจริงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านิยาย เรื่องราวซะตากรรมของครอบครัวของพิทีเซลนั้นเป็นเรื่องจริง มันแสดงถึงความสามารถและความคิดของคนอย่างเหลือเชื่อเท่าที่ศาลเคยพบ และแปลกประหลาดกว่านิยายเรื่องใดๆ ที่เคยอ่าน” 
 
หลังคดีสิ้นสุด คณะลูกขุนใช้เวลาประชุมลับ 3 ชั่วโมง และมีผลเอกฉันท์ว่า หมอโฮล์มส์หรือเฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเก็ตต์ มีความผิดจริงในข้อหาฆ่าเบน พี
28 ก.พ. 54 เวลา 10:42 4,997 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...