ประวัติศาสตร์ของ..วัน ฮัลโลวีน >> Halloween History

      ใน คริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิกเนี่ย Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ ที่เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eve ซึ่งแปลว่าวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยสมาสและสนธิออกมาอย่างนี้ Hallow + Eve = Halloween คำว่า Hallow ยังสามารถแปลได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ดังนั้นคำว่า All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย แต่ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง



      วันก่อนวันสมโภช คริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)



      นี่ เป็นประวัติส่วนหนึ่ง เพราะยังมีประวัติความเป็นมาอีกฉบับหนึ่งเล่าถึงที่มาที่ไปของวันนี้ว่า เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) กลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ ที่เชื่อว่าทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์



      ซึ่งวิธีการแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ การปลอมตัว ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง อืม...ประวัตินี้มันส์กว่า
แล้วสงสัยกันมั้ยจ้ะว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงต้องเป็นหัวฟักทองแกะสลักมีลูกตากะปาก ทำไมไม่ใช้หัวไชเท้า หัวมัน หัวเผือก?


      คือ งี้ เจ้าฟักทองมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ว่าถ้าเขาตายไปเขาขอไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี



      เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศ อเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ต๊าย เล่นง่ายนะยะ คนเมกาเนี่ย

ข้อมูลเพิ่มเติม by. Halloween History



      คำ ว่า "Halloween" หมายถึงจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายได้หลุดพ้นจากการกักขัง เทศกาล Halloween นี้จัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี บ้างก็ว่าเป็นเทศกาล ปล่อยผี บ้างก็ว่าเป็นวันแห่งการบูชาปีศาจ แต่จริงๆ แล้วฮัลโลวีนมาจากคำว่า All Hallows Eve. November 1 คำว่า All Hollows Day (All Saints Day) เป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์นิกายแคธอลิค เพื่อยกย่องเหล่า นักบวชทั้งหลาย วัน Halloween จึงถือว่าเป็นวันที่มีความหมายทางศาสนามากพอกับวันคริสต์มาสเลยทีเดียว แต่เหตุผลที่เลือกวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันฮัลโลวีนก็มาจากเหตุผลที่ว่าเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อน ก่อนเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องชาวเซ็ลด (Celt) ชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ซึ่งชนเผ่านี้มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า วันสิ้นสุดเดือนตุลาคมนี้

เป็นวันเชื่อมต่อแห่งมิติคนตายและคนเป็น และเป็นวันที่บรรดาวิญญาณผู้ที่สิ้นลมตายจากไปในรอบปีที่ผ่านมาจะเวียนวนหา ร่างของคนเป็น เพื่อสิงสู่และฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง หนึ่ง และมีวิธีในการป้องกันไม่ให้ร่างโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงก็คือ ปิดไฟให้มืดสนิท ให้วิญญาณหนาวเย็นจนเข้าสิงร่างใครไม่ได้ แล้วลวงล่อเหล่าผีไร้ร่างเหล่านี้ด้วยการแต่งหน้า แต่งตา และแต่งตัวเป็นผี พร้อมส่งเสียงอึกทึกครึกโครมให้วิญญาณตกใจกลัวและหนีจากไป (เลยกลายเป็นผีโดนคนหลอกไปซะอย่างนั้น) กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรกันไป



Halloween แบบอังกฤษ

      ที่ประเทศนี้ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดี เหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตา หรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่า วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้อง การสามารถเป็นไปตามใจปรารถนา ประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่าน พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน และท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคต เมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก็จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็น สามีของตนในอนาคต อีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6 เพนนีลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ล ผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญ และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียว ผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน


Halloween แบบอเมริกา

      ประเพณีของประเทศมหาอำนาจนี้ดูจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่าประเพณีของ ชาวอังกฤษ นั่นก็คือ ประเพณี Trick or Treat ที่จะให้เด็กๆ แต่งหน้า แต่งตัวเป็นผีเดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อร้องขอขนมเค้กสำหรับวิญญาณ (Soul cake) พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า "Trick or Treat" หากเจ้าของบ้านตอบว่า Trick จะถูกเด็กๆ แกล้ง แต่ถ้าตอบว่า Treat เจ้าของบ้านหลังนั้นก็ต้องนำขนมเค้กมาให้พวกเด็กจนกว่าเขาจะพอใจ เด็กที่แต่งตัวเป็นภูติผีวิญญาณเปรียบเหมือนสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างคน เป็นและคนตาย โดยเจ้าของบ้านที่ให้ขนมแก่เด็กๆ สามารถฝากคำอธิษฐานไปถึงคนตายได้ด้วย ดังนั้น ยิ่งเด็กๆ ขอขนมได้มากเท่าใด วิญญาณที่ยังเวียนวนอยู่ในนรกก็จะยิ่งได้รับส่วนบุญ และมีโอกาสขึ้นสวรรค์มากยิ่งขึ้นด้วย



      ขณะที่ตำนานการใช้ ฟักทองเป็นสัญลักษณ์ในเทศกาล Halloweenได้กล่าวไว้ว่า ในตำนานของชาวไอริชเกี่ยวกับ แจ็ค โอ แลนเทิล ที่เล่าถึงชายชื่อแจ็คนักเล่นกลจอมขี้เมา ที่ลวงปีศาจให้เข้าไปติดอยู่ในโพรงไม้ โดยเขียนเครื่องหมายกางเขนไว้ที่โคนต้นไม้ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจโดยมีข้อแม้ว่าถ้าปีศาจไม่มาหลอกเขา เขาจึงจะปล่อยปีศาจให้เป็นอิสระ เมื่อแจ็คตายทั้งสวรรค์และ นรกต่างปฏิเสธไม่ยอมให้แจ็คผ่านลงไป ปีศาจจึงได้มอบคบเพลิงพร้อมด้วยโคมหัวผักกาดที่จะป้องกันลมให้กับแจ็คเพื่อ ใช้เป็นแสงสว่างนำทาง ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ นับแต่นั้นชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านในเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายและสวยกว่าหัวผักกาดเยอะ หัวผักกาด ก็เลยกลายเป็นฟักทองแทนและใช้มาจนทุกวันนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงแจ็ค โอ แลนเทิล


 
      ปัจจุบัน ประเพณีวัน Halloween จะเน้นที่การแต่งกายปลอมตัวเป็นผี เพื่อการพบปะ สังสรรค์ เฮฮากันมากกว่าจะเป็นการระลึกถึงผู้ตายดั่งเช่นแต่เก่าก่อน และกิจกรรมรื่นเริงแบบนี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย

26 ต.ค. 53 เวลา 22:50 4,930 3 126
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...