ชะตากรรม ‘หนุ่มสาวญี่ปุ่น’ ที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือล้างสมอง ลักพาตัวนาน 25 ปี!!

http://www.meekhao.com/news/japanese-north-korea-abduction

รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่ามีประชาชนมากกว่า 250 คนถูกลักพาตัวโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อไปฝึกฝนเป็นสายลัย อย่างเช่นหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นสองคนซึ่งถูกควบคุมตัวไว้นานกว่า 25 ปีเต็ม

วันที่ 13 กรกฎาคม 1978 Kaoru Hasuike และแฟนสาว Yukiko Okudo ปั่นจักรยานไปที่ชายหาดใกล้บ้านใน Kashiwazaki เพื่อชมเทศกาลดอกไม้ไฟฤดูร้อน ระหว่างที่กำลังชมพลุดอกไม้ไฟอย่างสนุกสนาน มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน เดินเข้ามาและขอยืมไฟแช็คของคาโอรุ เขาและแฟนสาวถูกมอมยาจากนั้นจึงคลุุมตัวด้วยกระสอบและพาลงแพขนาดใหญ่

เมื่อคาโอรุรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ในแผ่นดินเกาหลีเหนือแล้ว มองไปทางไหนก็ไม่เห็นวี่แววของยูกิโกะ ผู้คุมบอกคาโอรุว่าแฟนสาววัย 22 ปี ของเขาถูกทิ้งไว้ที่ญี่ปุ่น

คาโอรุในวัย 20 ปี เป็นนักศึกษาด้านกฎหมายระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัย Chuo University ในโตเกียว แต่เขาไม่มีความสนใจทางด้านการเมืองเท่าไหร่นักและแทบไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเกาหลีเหนือเลย ด้วยความโมโหคาโอรุระเบิดคำด่าใส่ผู้คุมตัว แต่พวกเขาตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้านายอยากตายนี่เป็นโอกาสที่ดีแล้ว” และบอกเพิ่มเติมว่าที่ลักพาตัวคาโอรุมาเพราะต้องการให้ช่วยรวมคาบสมุทรเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียวดังเดิม

ขณะนั้นคาโอรุซึ่งรู้เพียงว่าประเทศชาติและบรรพบุรุษของตนเป็นศัตรูกับเกาหลีไม่มีวันมอบความช่วยเหลือใดให้กับประเทศนี้อย่างเด็ดขาด ผู้คุมชาวเกาหลีเหนือไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าคาโอรุจะช่วยในการรวมชาติเกาหลีได้อย่างไร แต่เผยข้อมูลที่ทำให้รู้ว่าเขาอาจจะได้ทำหน้าที่สอนภาษาญี่ปุ่นให้กับสายลับหรือไม่ก็เป็นสายลับเสียเอง

คาโอรุไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นคนเดียวที่ถูกลักพาตัว ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1977 มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากหายตัวไปโดยทางการเชื่อว่าเป็นการกระทำของเกาหลีเหนือ

ในเดือนพฤศจิกายน เด็กหญิงวัย 13 ปี Megumi Yokota ซึ่งกำลังเดินกลับบ้านหลังการฝึกซ้อมแบดมินตันถูกลักพาตัวไปจากถนนหน้าบ้านในเมืองนีงะตะ ครอบครัวของเมกุมิเฝ้ารอคอยและจัดเวรให้มีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่ที่บ้านตลอดเวลา เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งเธอจะกลับมาสู่อ้อมอก

ผ่านไปนานกว่า 20 ปี ในที่สุดเรื่องราวเกี่ยวกับการลักพาตัวชาวต่างชาติไปใช้ประโยชน์ในการฝึกสายลับของเกาหลีเหนือก็ถูกเปิดเผย หลายคนมั่นใจแล้วว่านี่คือสาเหตุที่เมกุมิหายตัวไป เรื่องราวของเมกุมิถูกนำไปสร้างเป็นสารคดี ภาพยนตร์แอนิเมชั่น และหนังสือการ์ตูน แต่เมกุมิก็ไม่เคยกลับมาหาครอบครัวอีกเลย รัฐบาลเปียงยางอ้าวว่าเมกุมิฆ่าตัวตายระหว่างการรักษาภาวะซึมเศร้า ในขณะที่พ่อและแม่เชื่อว่าเธอยังมีชีวิต

ครอบครัวของผู้ถูกลักพาตัวออกตามหาบุตรหลานญาติพี่น้องอย่างสิ้นหวัง บางคนเคราะห์ดีก็ถูกปล่อยตัวกลับหลังหายไปเพียงแค่ 4-5 ปี บางคนก็หายสาบสูญไปหลายสิบปีโดยไม่มีใครได้ข่าว และไม่มีผู้ใดทราบจำนวนที่แน่ชัดของเหยื่อที่ถูกลักพาตัว แต่จากรายงานและข่าวสารที่รวบรวมมาเชื่อว่ามีจำนวนหลายร้อยคน

และมีดาราชาวเกาหลีใต้อย่าง Shin Sang Ok ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม และ Choi Eun Hee ภรรยาของเขา ซึ่งถูกพาตัวไปเพื่อสร้างภาพยนตร์เกาหลีเหนือขึ้นเองโดยเลียนแบบภาพยนตร์ดังของต่างประเทศ

ในขณะที่หลายคนเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นซึ่งหายตัวไปในยุคนั้นส่วนใหญ่ถูกลักพาตัวไปฝึกฝนเป็นสายลับในเกาหลีเหนือ แต่ก็มีข่าวว่าหญิงสาวชาวญี่ปุ่นหรือเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าพิธีบางคนถูกลักพาตัวไปเป็นภรรยาของคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นในเกาหลีเหนืออีกด้วย

นอกจากนี้บางคนก็ถูกบังคับให้สอนภาษาญี่ปุ่น และบางคนก็ถูกขโมยตัวตนด้วยการสวมอ้างพาสปอร์ตโดยสายลับเกาหลีเหนือ ในปี 1987 มีสายลับเกาหลีเหนือสองคนปฏิบัติภารกิจระเบิดฆ่าตัวตายบนเครื่องบินเกาหลีใต้ คร่าชีวิตผู้โดยสารไป 115 ราย

แนวคิดที่เป็นไปได้ที่สุดในการลักพาตัวชาวต่างชาติคือเพื่อรวมชาติเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียว กลืนคนญี่ปุ่นให้กลายเป็นคนเกาหลี และเผยแพร่ลัทธิบูชาผู้นำคิม อิล-ซ็อง 

ด้วยปัญหาทางการเมืองของญี่ปุ่นในช่วงนั้นทำให้การลักพาตัวดำเนินต่อไปอย่างน่าเป็นห่วง และชาวญี่ปุ่นบางคนเริ่มมองว่านโยบายของผู้นำคิมดูมีพลังและน่าสนับสนุนมากกว่าการปกครองของพัก ช็อง-ฮี อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตามการลักพาตัวไม่ใช่การกระทำที่ยอมรับได้ เริ่มมีชาวญี่ปุ่นก่อตั้งกลุ่มต่อต้านการกระทำของเกาหลีเหนือ

ส่วนใหญ่แล้วเกาหลีเหนือจะเลือกหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ หรือกำลังท่องเที่ยวตามชายหาด บางคนถูกล่อลวงด้วยการเสนองานในต่างประเทศพร้อมตั๋วเครื่องบิน ส่วนบางคนถูกจับตัวลงเรือเดินทางข้ามทะเลมาเช่นเดียวกับคาโอรุและยูกิโกะ มีรายงานว่าเกาหลีเหนือใช้วิธีจับหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักไปแล้วให้อยู่แยกกัน สร้างความโดดเดี่ยวและเจ็บปวดใจให้พวกเขามากกว่าเดิมหลายเท่า จนหลายคนเลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยภาวะซึมเศร้า แต่ถ้าหากทนได้จนถึงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาจะได้พบหน้ากันอีกครั้งและจะทำงานรับใช้เกาหลีเหนือร่วมกัน

เชื่อว่ายูกิโกะเองก็คงได้รับข้อมูลแบบเดียวกันนี้จนเธอสามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งอยู่ได้ในประเทศที่ไม่คุ้นเคยเพื่อรอวันที่จะได้พบกับคาโอรุ หลังจากผ่านไปเกือบสองปีคาโอรุก็ได้รับข่าวดีว่ายูกิโกะไม่ได้ถูกทิ้งไว้ที่ญี่ปุ่นแต่อยู่ในห้องขังถัดไปจากเขานี้เอง ทั้งคู่พบกันอีกครั้งและแต่งงานกันสามวันหลังจากนั้น คาโอรุและยูกิโกะยังได้รับของขวัญวันแต่งงานเป็นบ้านพักชั้นเดียวในเขตหวงห้ามทางตอนใต้ของเปียงยาง พวกเขาใช้ชีวิตแบบชาวเกาหลีเหนือและค่อยๆ เรียนรู้วัฒนธรรมสุดประหลาดในผืนดินนี้

ทุกๆ สัปดาห์จะมีการฉายภาพยนตร์ให้ประชาชนดูร่วมกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโฆษณาชวนเชื่อและสารคดีของเกาหลีเหนือ ผู้นำคิม จ็อง-อิล เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีงานศิลปะหรือวรรณกรรมเอกชิ้นใดมีพลังไปมากกว่าภาพยนตร์ที่ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติ” ทุกเย็นคาโอรุและยูกิโกะจะนั่งชมภาพยนตร์ร่วมกัน หลังจากอาศัยอยู่ในเกาหลีเหนือชั่วระยะหนึ่งคาโอรุก็คิดได้ว่าเขาจะต้องเรียนรู้ภาษาเกาหลีถ้าต้องการเอาตัวรอด ไม่นานเขาก็อ่านภาษาเกาหลีได้และเริ่มใช้เวลาไปกับหนังสือพิมพ์เกาหลีเหนือ หนังสือพิมพ์เกาหลีเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เนื้อหาเต็มไปด้วยการยกย่องผู้นำสูงสุดและการใสร้ายป้ายสีเกาหลีใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมีประกาศสงครามระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ ที่เส้นแบ่งเขตที่ 38 ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ แผนการโจมตีโซลด้วยจรวดขีปนาวุธ สายลับจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่ในเกาหลีใต้ และถ้าหากสถานการณ์บานปลายชาวเกาหลีเหนือได้รับคำสั่งให้อพยพเข้าไปอยู่ในถ้ำและภูเขา เขาคิดไว้ว่าถ้าหากได้เจอกับทหารสหรัฐฯ เขาจะต้องพูดประโยคภาษาอังกฤษว่า “เราคือชาวญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวมา ช่วยเราด้วย”

หลังจากนั้นไม่นานคาโอรุและยูกิโกะก็มีบุตรด้วยกันสองคน ซึ่งทำให้พวกเขาผูกติดอยู่กับเกาหลีเหนือมากขึ้นกว่าเดิม เพราะลูกๆ ทำให้คาโอรุอยากมีครอบครัวที่มั่นคง พวกเขาแอบตั้งชื่อภาษาญี่ปุ่นให้กับลูกอย่างลับๆ ว่า “ชิเงโอะ” และ “คัตสึยะ” แต่ในเดือนมกราคม 1988 ทุกอย่างก็พลิกผัน ผู้ก่อการร้ายชาวเกาหลีเหนือ Kim Hyon Hui สารภาพทุกอย่างเกี่ยวกับเหตุระเบิดเครื่องบินของสายการบินเกาหลีใต้ รวมทั้งเรื่องราวการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นเพื่อฝึกฝนสายลับ การอ้างถึง “การลักพาตัว” ทำให้ชาวเกาหลีเหนือไม่พอใจและขัดแย้งกับชาวญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงใช้คำเรียกว่า “ผู้ที่สูญหาย” แทน รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่ามีชาวญี่ปุ่นถูกลักพาตัวไปราว 250 คน แต่รัฐบาลเกาหลีและผู้นำคิม จ็อง-อิล ออกมาโต้แย้งว่ามีเพียง 13 คนและ 8 ใน 13 เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนผู้ที่รอดชีวิตจะถูกปล่อยตัวกลับไปยังบ้านเกิด

คาโอรุและยูกิโกะถูกปล่อยตัวกลับประเทศในปี 2002 แต่ไร้วี่แววของลูกๆ ทั้งสองคน หลังจากการฟ้องร้องนาน 18 เดือนเต็มในที่สุดเด็กทั้งสองก็ได้กลับมาหาพ่อแม่อีกครั้ง 

คาโอรุทำหน้าที่มอบความรู้เกี่ยวกับประเทศเกาหลีให้กับนักศึกษาระดับปริญญาเอกและเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขา ยูกิโกะเป็นแม่ครัวในโรงเรียนอนุบาลท้องถิ่น ชิเงโอะกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก ส่วนคัตสึยะจบการศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยวาเซดะและกำลังทำงานอยู่กับธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงโซล

แม้ว่าเขาและครอบครัวจะได้ชีวิตที่ปกติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แต่คาโอรุยังกังวลถึงคนที่ถูกลักพาตัวไปและยังคงถูกกักขังไว้ในเกาหลีเหนือ นอกจากนี้เขายังไม่สามารถอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินบ้านเกิดได้อย่างสนิทใจ ขณะที่อยู่ในเกาหลีเหนือเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเลวร้ายของชาวญี่ปุ่น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเคยทรยศแผ่นดินและบรรพบุรุษ

เมื่อถามว่าทำไมเขาถึงถูกลักพาตัวไปและเขาได้ทำหน้าที่อะไรบ้าง คาโอรุตอบว่า “ผมคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ทุกอย่างยังดูสับสนขัดแย้งอยู่ในตัวสำหรับผม มันไม่มีเหตุผลชัดเจนสำหรับการลักพาตัวเรา ‘เราคงถูกลักพาตัวไปเพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรอง’ นี่คือสิ่งที่ผมสรุปได้และฟังดูมีเหตุผลที่สุด”

ที่มา: DailyMail

 

 

27 ธ.ค. 59 เวลา 13:47 1,673
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...