10 การฆ่าตัวตายหมู่ที่น่าสะพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์

นี่คือเรื่องราวและเหตุการณ์การฆ่าตัวตายในประวัติศาสตร์ที่เป็นที่จดจำและน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก แต่บางเหตุการณ์หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งแต่ละเหตุการณ์นั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จะน่าสนใจขนาดไหน ไปชมกันเลย

 

1. ศพคนกว่า 39 รายถูกพบบนชั้นสองของบ้านหลังหนึ่งในสภาพถูกคลุมด้วยผ้าสีม่วงอยู่บนเตียง โดยเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายของลัทธิอะไรบางอย่าง พวกเขาขาดอากาศหายใจตายทั้งยังพบถุงพลาสติกวางอยู่เหนือหัวพวกเขาอีกด้วย

 

2. ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเหตุการณ์น่ากลัวขึ้นนอกจากสงคราม ขณะที่กองทัพแดงเขามาบุกในเมือง Demmin ผู้หญิงและผู้หญิงในเมืองเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกฆ่าและข่มขืน ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่าตัวตายด้วยปืนและใบมีดโกนมากกว่า 1000 ราย

 

3. ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 เป็นวันที่มีคนกว่า 900 คนตัดสินใจฆ่าตัวตายพร้อมกันด้วยการดื่มยาพิษในโจนส์ทาวน์ และน่าสลดใจมากที่ในนั้นมีเด็กอยู่ด้วยกว่า 300 คน

 

4. เพื่อหนีจากความโหดร้ายของโลกสมัยใหม่ ดังนั้นในปี 1994 สมาชิก Solar Temple จึงพากันฆ่าตัวตายจบชีวิตตัวเอง

 

5. การฆ่าตัวตายของนักเคลื่อนไหวทางศาสนากว่า 778 คน โดยพวกเขาเชื่อว่าเกิดมาเพื่อปฏิบัติตามบัญญัติ 10 ประการและคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ทั้งพวกเขายังตั้งกฎของพวกเขาขึ้นเองอีกด้วย และเหตุนี้ทำให้พวกเขาฆ่าตัวตายพร้อมกัน

 

6. ในปี 1906 ที่เมือง Badung คนในเมืองต่างเอาตัวรอดจากการโจมตีของกองทัพดัตช์ ดังนั้นคนในครอบครัวต่างฆ่ากันตายเองทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

 

7. เป็นเวลานานกว่า 12 ที่คนกว่า 900 คนขังตัวเองไว้ภายในป้อมปราการ Masadaในทะเลทราย Judean เพื่อซ่อนตัวจากชาวโรมัน แต่แล้วป้อมปราการถูไฟไหม้ทำให้พวกเขาถูกเผาตายอย่างน่าอนาถ

 

8. ในปี 1944 ที่ไซปัน ชาวบ้านในเมืองกว่า 22,000 คนมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายพากันกระโดดหน้าผาลงน้ำตายเพื่อหนีจากการถูกฆ่า 

 

9. หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง คนเยอรมันกว่าพันคนต้องยอมรับความพ่ายแพ้และตัดสินใจกินแคปซูลไซยาไนต์ฆ่าตัวตาย

 

10. ในปี 1535 ก่อนคริสตกาล หลังจากที่่เมือง Chittor พ่ายแพ้ศัตรูจึงต้องทำตามกฎที่ว่าให้ฆ่าตัวตาย แต่การฆ่าตัวตายนี้จะทำเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่กษัตริย์ของเมืองถูกฆ่าตายจึงแพ้สงคราม ดังนั้นราชินีจึงต้องฆ่าตัวตายพร้อมกับข้ารับใช้และผู้หญิงอีกหลายคนในเมือง

 

ข้อมูลและภาพประกอบจาก "wittyfeed"

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...