นี่เป็นภาพเครื่องบินที่บรรพบุรุษไทยใช้สู้เพื่อเราลูกหลานของท่าน จงรักษาแผ่นดินนี้สืบไป

ภาพเครื่องบินขับไล่แบบ 10 (บข.10) หรือ Hawk III

(มีเครื่องเดียวในโลกเหลืออยู่ในไทย)
 

 

 

- เป็นเครื่องบินขับไล่แบบแรกของกองทัพอากาศไทยที่ถูกนำเข้าประจำการเป็นจำนวน มาก ทั้งจัดซื้อและสร้างขึ้นเอง

 

ภาพในเหตุการณ์วัน ญี่ปุ่นบุก8 ธันวาคม2484 นักบินไทยชั้นครู3คน นำเครื่องบินนี้3ลำ ขึ้นสกัดกั้นข้าศึกที่มี Nakajima Ki-27-Otsu อันมีสมรรถนะเหนือกว่า สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง470กม./ซม.ผลเป็นที่รู้กัน ทหารไทยสู้เอาเลือดทาแผ่นดิน มีเครื่องเดียวในโลกเหลืออยู่ในไทย



ครื่องบินขับไล่ แบบที่ ๑๐ (Hawk III) ซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมทั้งกรรมสิทธิในการสร้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ จำนวน ๑๒ เครื่อง และได้สร้างข้นเองอีกประมาณ ๕๐ เครื่อง ได้ใช้ปฏิบัติการทั้งในสงครามกรณีพิพาทกับอินโดจีน ของฝรั่งเศส และสงครามมหาเอเซียบูรพา ใช้ราชการถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ปัจจุบันอนุรักษ์ไว้ในพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ และเป็นเครื่องที่เหลือแบบนี้ในโลกเครื่องเดียว

(กองทัพอากาศ ๙ เมษายน ๒๕๔๒, หน้า ๓๙.)  

 

ภาพเครื่องบินขับไล่แบบ 11 (บข.11) หรือ Hawk 75 N

(มีฉายาว่า "มือปืนรับจ้าง")




  ประเภท เครื่องบินขับไล่ปีกชั้นเดียว ที่นั่งเดี่ยว

  ความเร็วสูงสุด 280 ไมล์ / ชม. ที่ความสูง 3,250 ม.


เครื่องบินแบบนี้ เป็นเครื่องบินที่สหรัฐสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อขายให้ไทย
 

 




เป็นเครื่องบินที่เป็น บรรพบุรษของป้อมบินb-17




เครื่องบินทิ้งระเบิด แบบ ๓ (Martin) ซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จำนวน ๖ เครื่อง มีบทบาทปฏิบัติการรบทางอากาศในสงครามมหาเอเซียบูรพา ใช้ราชการถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มิได้อนุรักษ์ไว้

 

 
นี่เป็นภาพเครื่องบินที่บรรพบุรุษไทยใช้สู้เพื่อเราลูกหลานของท่าน 
จงรักษาแผ่นดินนี้สืบไป

 

ภาพเครื่องบินโจมตีแบบ 1 (บจ.1) หรือ V-93 S Corsair
 




 

เป็นเครื่องบินโจมตี หลักของกองทัพอากาศไทยในช่วงสงครามอินโดจีน และเป็นเคื่องบินที่ไทยสามารถสร้างขึ้นใช้เองได้จำนวนมาก มี เครื่องเดียวในโลกเหลืออยู่ในไทย

 

จ่าอากาศโท จำรัส ม่วงประเสริฐ (ยศครั้งสุดท้าย นาวาอากาศโท) นักบิน ทอ. ลำดับที่ ๔๙๖ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงระหว่างปฏิบัติการ “ยุทธนาวีที่เกาะช้าง” เป็น ๑ ใน ๕เสืออากาศไทย ที่มีโอกาสเห็นและได้ใช้เครื่องบินโจมตี1(บจ.1)เข้าทิ้งระเบิด เรือ ลามอตต์ปิเกต์ (La Motte Picquet) ในเช้าวันนั้น

เครื่องบินโจมตีKi-30 นา โกย่า





 

ประเภท : เครื่องบินโจมตีสองที่นั่ง ผู้สร้าง : บริษัทมิตซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่น เครื่องยนต์ : ลูกสูบรูปดาว ๑๔ กระบอกสูบ นากาจิมา เอชเอ-๕ ไก ( HA-5 )
  ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้กำลังเครื่องละ ๙๖๐ แรงม้า จำนวน ๑ เครื่อง กางปีก : ๑๔.๕๕ ม. ( ๔๗ ฟุต ๙ นิ้ว ) ยาว : ๑๐.๓๔ ม. ( ๓๓ ฟุต ๑๑ นิ้ว ) สูง : ๓.๕๔ ม. ( ๑๑ ฟุต ๑๑ ๓/๔ นิ้ว ) น้ำหนักเปล่า : - น้ำหนักวิ่งขึ้น สูงสุด : ๓,๓๒๒ กก. ( ๗,๓๒๔ ปอนด์ ) อัตราเร็วสูงสุด : ๔๓๑ กม./ ชม. ( ๒๖๘ ไมล์ / ชม. ) ที่ระยะสูง ๔,๐๐๐ ม. อัตราเร็วเดินทาง : ๒๕๐ กม./ชม. อัตราไต่ : - เพดานบิน : ๘,๕๗๐ กม. ( ๒๘,๒๑๕ ฟุต ) พิสัยบิน : ๑,๐๕๐ กม. ( ๑,๖๗๘ ไมล์ ) อาวุธ : ปืนกลอากาศ ขนาด ๗.๗ มม. แบบญี่ปุ่นติดที่ปีกซ้าย ระยะยิงหวังผล ๘๐๐ เมตร
  ปืนหลัง ปืนกลอากาศ ขนาด ๗.๗ มม. ลำกล้องแฝด ระยะยิงหวังผล ๘๐๐ เมตร
  อัตราเร็ว ในการยิง ๕๐๐ - ๕๕๐ นัด/นาที
  ติดลูกระเบิดขนาด ๑๒ กก. ได้ ๓๒ ลูก
  หรือ ขนาด ๕๐ กก. ได้ ๘ ลูก
  หรือขนาด ๑๐๐ กก. ได้ ๔ ลูก หมาย เหตุ



- บ.จ. ๒ ที่ ทอ. จัดซื้อจำนวน ๒๕ เครื่อง ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ นั้น
  สร้างจากโรงงานของบริษัทมิตซูบิชิ ที่เมืองนาโกย่า
- กองกำลังทางอากาศของกองทัพบกญี่ปุ่นในอดีต กำหนดสัญลักษณ์ของ
  เครื่องบินแบบนี้ว่า nิ ๓๐ ( Ki. 30

Ki-30 เป็นเครื่องบินโจมตี ประเภทดำทิ้งระเบิด 3 ที่นั่ง (นักบิน,พลวิทยุและพลปืนหลัง) ประจำการในกองทัพอากาศไทยในช่วงสงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส และสงครามมหาเอเชียบูรพา มีจำนวน 25 เครื่อง แบ่งเป็น2ฝูงมีชื่อฝูงพิเศษกว่าใครๆ ว่า "ฝูงบินพิบูลสงคราม๑" และ "ฝูงบินพิบูลสงคราม ๒"ประจำการอยู่ที่ ดอนเมือง มีชื่อเรียกตามแบบ ทอ.ไทยว่า "เครื่องบินโจมตีแบบ ๒" นักบินและทหารไทยสมัยนั้นนิยมเรียกชื่อว่า "นาโกย่า" ประวัติเด่นที่สุดคือการทิ้งระเบิดและต่อสู้เหนือนครวัตรและพระตะบอง จนกองทัพไทยมีชัยชนะ







วันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ ในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส (พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔) กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบิน โจมตีแบบ ๒ (นาโกย่า) จำนวน ๙ เครื่อง ไปปฏิบัติภารกิจโจมตีทิ้งระเบิดที่บ้านไพลิน และบ้านศรีโสภณ โดยมีเครื่องบินขับไล่ แบบ ๑๑ ( Hawk 75 ) จำนวน ๓ เครื่องบินคุ้มกัน การปฏิบัติการครั้งนี้ สร้างความเสียหายแก่ข้าศึกอย่างหนัก และนับเป็นการปฏิบัติภารกิจทางอากาศครั้งสุดท้ายของการรบในกรณีพิพาทอินโด จีนฝรั่งเศส



 

เครื่องบินขับไล่ Hawk 2

เครื่องบิน ฮอว์ก ๒ เป็นเครื่องบินขับไล่ที่กองทัพอากาศนำเข้าประจำการใน บน. ๔ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ให้ชื่อว่า แบบ ๑๘ ปัจจุบันมีชื่อรหัสว่า บ.ข. ๙ ฮอว์ก ๒ หรือ บ. แบบ ๑๘ เป็นเครื่องบินขับไล่แบบหนึ่งที่มีบทบาทในสงครามอินโดจีน

 

สมรรถนะ อากาศยาน  เครื่องบินขับไล่ แบบ ๑๘ ฮอว์ท ๒  บ.ข. ๙

ประเภท : เครื่องบินขับไล่ ผู้ สร้าง : บริษัท เคอร์ติส - ไรท์ (สหรัฐอเมริกา) เครื่อง ยนต์ : ลูกสูบลูกดาว ไรท์ไซโคลน อาร์ - ๑๘๒๐ เอฟ - ๓ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
  ให้กำลัง ๗๑๕ แรงม้า ที่ ๑,๙๕๐ รอบต่อนาที จำนวน ๑ เครื่อง กาง ปีก : ๙.๖๐ ม. ( ๓๑ ฟุต ๖ นิ้ว ) ยาว : ๖.๘๒ ม. ( ๒๒ ฟุต ๔๕/๑๖ นิ้ว ) สูง : ๒.๙๕ ม. ( ๙ ฟุต ๘๕/๘ นิ้ว ) น้ำหนัก วิ่งสูงสุด : ๑,๗๗๓ กก. ( ๓,๙๔๐ ปอนด์ ) อัตรา เร็วขั้นสูง : ๓๒๘ กม./ชม. ( ๒๐๕ ไมล์/ชม. ) ที่ระยะสูง ๒,๐๙๗ ม. ( ๖,๙๐๐ ฟุต ) อัตรา เร็วเดินทาง : ๒๘๐ กม./ชม. ( ๒๕,๘๕๐ ฟุต ) พิสัย บิน เพดานบิน : ๒๘๐ กม./ชม. ( ๒๕,๘๕๐ ฟุต ) พิสัย บิน : ๕๘๔ กม. ( ๓๖๕ ไมล์ ) บรรจุ ประจำการใน ทอ. : พ.ศ. ๒๔๗๗ จำนวน ๑๒ เครื่อง อาวุธ : ปกอ. ขนาด ๘ มม. ๒ กระบอก ที่ปีกข้างละ ๑ กระบอก ติดลูกระเบิดขนาด ๕๐ กก.
  ใต้ปีกได้ข้างละ ๒ ลูก

ภาพ วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ ในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส (พ.ศ.๒๔๘๓- ๒๔๘๔) กองทัพอากาศ ได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๙ (ฮอร์ค ๒) จำนวน ๓ เครื่อง ขึ้นบินลาดตระเวนรักษาเขต โดยมี เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร เป็นหัวหน้าหมู่บิน ขณะปฏิบัติภารกิจอยู่บริเวณบ้านยาง อำเภออรัญประเทศ พบเครื่องบินทิ้งลาดตระเวนของข้าศึกแบบโปเตซ์ ๒๕ จำนวน ๑ เครื่อง และเครื่องบินขับไล่แบบโมราน ๔๐๖ จำนวน ๓ เครื่อง เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ ฯ จึงนำหมู่บินเข้าสกัดกั้นและยิงเครื่องบินลาดตระเวนของข้าศึกตก

#เครื่องบินรบ
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIPสมาชิก VIP
14 มิ.ย. 53 เวลา 21:55 4,906 5 54
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...