หีบสมบัติแห่งโบสถ์พิสโค่ Treasure Chest of the Church of Pisco

ในปี 1859(2402) ทหารรับจ้างสี่นายในกองทัพเปรู ชาวสเปน (Diego Alvarez)
ชาวไอริช (Killorain) ชาวอังกฤษ (Luke Barrett) และชาวอเมริกัน (ฺBrown)
พวกเขาต่างแสวงหาเงินและหวังว่าจะมีโชคชะตาที่ดีกว่านี้
มีชายคนหนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญเล่าว่ารู้จักกับนักบวชอลัชชี (Father) Matteo มัสเตโร่
ได้บอกว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ในโบสถ์เมือง Pisco  ทั้งสี่คนจึงสมคบคิดวางแผนการขึ้นมา
ด้วยการลาออกจากการเป็นทหารรับจ้างแล้วเดินทางไปเมือง Pisco
Alvarez กับ Killorain เป็นชาวคาทอลิก จึงเข้าร่วมพิธีศาสนาอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากนั้นเริ่มปล่อยข่าวลือเรื่องน่ากลัวของโจรผู้ร้าย
จนพวกเขาได้พบกับบาทหลวงที่ทรยศต่อพระเจ้าชื่อ Matteo
บาทหลวงที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสมบัติและรวบรวมไว้เป็นจำนวนมหาศาล
พร้อมกับเกรงกลัวว่าพวกโจรที่จะมาขโมยสมบัติไป

พวกเขาจึงอาสากับบาทหลวงปาราชิกว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์/ทหารคุ้มกัน
การทำงานครั้งนี้จะทำเพื่อพระเจ้าด้วยการขนย้ายสมบัติทั้งหมด
(ทองคำ 14 ตัน เครื่องประดับอัญมณี สร้อยเพชรพลอย 38 เส้น
เพชรพลอยเครื่องประดับอื่น ๆ เหรียญทองคำสเปนอีกจำนวนมาก)
นำไปเก็บรักษาไว้ในสถานที่ปลอดภัย  เรือบรรทุกสมบัติลงใต้ไปยังเมือง Callao เปรู
อดีตทหารรับจ้างทั้งสี่คนเดินทางร่วมกับ Matteo บาทหลวงส่วนหนึ่ง ผู้โดยสาร ลูกเรือ และกัปตันเรือ
และแล้วอดีตทหารรับจ้างได้ฆ่าคนเหล่านั้นตายทั้งหมด
Alvarez เสนอว่าให้ซ่อนสมบัติไว้ที่ไหนสักแห่งก่อน แล้วค่อยแล่นเรือไปขึ้นยังชายฝั่งออสเตรเลีย
ก่อนจะจมเรือใหญ่ลงโดยอ้างว่าเรืออับปางลงกลางทะเล  วิธีการนี้จะไม่มีใครสงสัยว่ามีการฆาตกรรมและโจรกรรมเกิดขึ้น
หลังจากนั้นค่อยหาเรือลำอื่นเดินทางไปขนสมบัติทั้งหมดกลับมา

เรือดังกล่าวได้แวะที่ ตาฮิติ เพื่อรวบรวบเสบียง  ก่อนที่จะแล่นเรือเข้าไปสู่บริเวณที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก
บริเวณแนวหินปะการัง ในเดือนธันวาคม 1859(2402)  พวกเขาพบเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหมู่เกาะ Tuamotu
พวกเขาจึงขนสมบัติลงเรือกรรเชียงลำเล็กแล้วค่อย ๆ ลำเลียงสมบัติทีละเล็กทีละน้อยไปบนเกาะแห่งนั้น
จนสมบัติทั้งหมดได้ถูกซ่อนไว้บนเกาะปริศนาแห่งนั้น



กลุ่มหมู่เกาะ Tuamotu


Alvarez ได้ทำแผนที่ขุมทรัพย์แห่งนั้นไว้  แต่เพราะไม่ทราบชื่อของเกาะแห่งนั้น
พวกเขาจึงเดินทางไปที่เกาะ Katiu สอบถามชาวท้องถิ่นเกี่ยวกับชื่อเกาะบริเวณนั้น
มีชาวท้องถิ่นรายหนึ่งอ้างว่ามีประสบการณ์เดินเรือและบอกว่าชื่อเกาะ  Pinaki แต่แล้วจริง ๆ ไม่ใช่
Alvarez  จึงชักปืนขึ้นมาแล้วจ่อยิงเพื่อฆ่าปิดปากชายคนดังกล่าว  เพื่อไม่ให้ความลับอาจจะรั่วไหลได้
เรื่องดังกล่าวทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก จนพวกเขาทั้งสี่คนต้องรีบร้อนหลบหนีไปจากเกาะแห่งนั้น



เกาะ Tuanake กับ เกาะ Katiu

พวกเขาได้แล่นเรือไปใกล้ชายฝั่งออสเตรเลียแล้วจมเรือลำใหญ่
ก่อนจะพายเรือกรรเชียงไปขึ้นฝั่ง  เพื่อรอวันเวลาเดินทางกลับไปเอาสมบัติทั้งหมด
แต่เพราะพวกเขาขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเดินทางกลับไปเกาะปริศนาอีก
จึงพยายามขายฝันพร้อมแผนที่ขุมทรัพย์ให้กับนักลงทุนที่ร่ำรวย  แต่ไม่มีใครกล้าลงทุนด้วย

ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาเงิน  พวกเขาจึงไปทำงานในเหมืองทอง Palmer ที่รัฐควีนแลนด์
แต่แล้ว Alvarez กับ Luke Barrett ถูกฆ่าตายในการทะเลาะวิวาทกับนักขุดหาทอง
ส่วน Killorain กับ Brown ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีข้อหาฆ่าคนตายในการทะเลาะวิวาทครั้งนั้น
Brown ตายในคุก ส่วน Killorain พ้นจากคุกกลายเป็นคนจรจัดไร้ที่อยู่

 

ในเดือนพฤษภาคมปี 1912(2455) Charles Howe  ขณะที่อยู่ในบ้านพักใกล้เมืองซิดนีย์
มันเป็นคืนที่ฝนตกหนัก เขาได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเปิดประตูออกมา พบคนจรจัดมาขอทาน
เขาตกใจมากที่พบคนแคระตัวเล็ก ๆ เหมือนหลุดออกจากภาพวาดในหนังสือนิทาน
แต่เขาให้อาหารเลี้ยงดูพร้อมกับมอบเสื้อผ้าแห้งให้ 
จากนั้นไม่นานคนจรจัดก็เดินจากไปในเวลาต่อมา

สี่เดือนต่อมา Howe ถูกเชิญตัวไปที่โรงพยาบาลซิดนีย์
เพราะมีคนจรจัดคนหนึ่งกำลังป่วยหนักและต้องการพูดคุยกับ Charles Howe
เมื่อได้พบกันแล้ว  คนจรจัดบอกว่า
ชื่อ Killorain มีเพื่อนอีกสามคนแต่ตายหมดแล้ว
พวกเขาได้ฝังสมบัติจำนวนมากไว้
แต่การที่ตนเองต้องใช้ชีวิตในคุกเป็นเวลานาน
ทำให้หลังจากนั้นไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกเลย
จึงขอมอบแผนที่ที่  Avarez ทำขึ้นมาเพื่อตอบแทนบุญคุณ
แล้วอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับที่ตั้งและสมบัติที่ซุกซ่อนไว้

เพื่อตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดว่าจริงหรือโกหก
Charles Howe พบว่ามีโบสถ์ Pisco จริง
ชายทั้งสี่คนเข้ามาอยู่ในเมือง Cooktown
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1860(2403) หลังจากเรืออับปางลงจริง
เมื่อเขากลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะพูดคุยกับ Killorain  อีกครั้ง
ก็พบว่า Killorain เพิ่งเสียชีวิตไป

Charles Howe ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์
ด้วยการแล่นเรือไปที่ตาฮิติ  จากนั้นทำตัวเหมือนชาวพื้นเมือง
เข้าพักอาศัยและค้นหาสมบัติบนเกาะปะการังขนาดเล็กชื่อ Pinaki
เขาต้องใช้เวลาอยู่ถึง 13 ปีในการค้นหาทรัพย์สมบัติแต่ก็ไม่พบเลย
จนสอบถามชาวพื้นเมืองที่เกาะตาฮิติ
เรื่องราวเรือที่มีคนสี่คนแล่นเรือออกมาจาก Pisco
แล้วมาทอดสมอเรือที่หมู่เกาะปะการัง Pinaki
แต่ชาวพื้นเมืองบอกว่าไม่เคยเห็นเรือลำนี้ที่เกาะ Pinaki

Charles Howe จึงย้ายไปเกาะแห่งใหม่พร้อมกับแผนที่ในมือ
เพียงแค่สามวันหลังจากนั้น ก็พบอัญมณีและเหรียญทองของสเปน
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทอง Alvarez ตามแผนที่ระบุว่าฝังอยู่ในสระน้ำรูปลูกแพร์
เมื่อดำน้ำลงในสระน้ำก็พบกับชิ้นส่วนไม้บางชิ้น ทำให้แน่ใจว่าพบที่ตั้งทองคำแล้ว
แต่การขนทองคำจำนวน 14 ตันออกจากทะเลสาบและเกาะแห่งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ทั้งยังไม่ต้องการให้ชาวบ้านรู้ว่า Charles Howe ได้พบอะไรมาแล้วบ้าง
เพราะชาวบ้านที่เกาะต่างรู้ว่าเขาเป็นนักแสวงหาโชคและได้ใช้เวลาหลายปีแล้ว
สำหรับการค้นหาบางสิ่งบางอย่างตามเกาะแก่งปะการัง
เขาจึงฝังหีบเหรียญทองคำสเปนและอัญมณีไว้แล้วนำสมบัติติดตัวกลับมาเพียงเล็กน้อย
พร้อมกับบอกเล่าชาวบ้านว่าล้มเหลวอีกครั้งในการค้นหาสมบัติตามเกาะ

Charles Howe  เดินทางกลับไปออสเตรเลีย
ได้รวบรวมกลุ่มนักผจญภัยและนักลงทุน
เพื่อเตรียมการจะเดินทางไปขุดค้นสมบัติ
เตรียมระบบห่วงโซ่อุปทานในการขนส่ง/ลำเลียงสมบัติ
Charles Howe เก็บซ่อนแผนที่ไว้กับตนเองแล้วเดินทางไปทำงานที่เหมืองทองคำ
เพื่อหาเงินกับเรียนรู้เทคนิคเคล็ดลับบางอย่างในการตรวจสอบทองคำ
ต่อมาเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพราะขาดเงินทุนในการเดินทางร่วมไปกับคณะตามแผนการที่วางไว้
ก่อนตายเขาได้บอกเล่าเรื่องราวกับ George Hamilton
แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะผู้ฟังไม่เข้าใจเส้นทางแผนที่และที่ตั้งเกาะปริศนา

ในเดือนมกราคมปี 1934(2477) มีกลุ่มนักแสวงโชคเดินทางไปที่หมู่เกาะตาฮิติ
เพื่อค้นหาเกาะปริศนาตามที่ทราบและเชื่อว่าประสบการณ์/โชคชะตาจะต้องพบเกาะปริศนาได้
แต่ใช้เวลานานมากจนเงินทุนร่อยหรอลง นักลงทุน/นายทุนเเลยบอกเลิกไม่ยอมจมเงินลงไปอีก
เรื่องนี้จบลงด้วยยังมีทองคำ 14 ตัน  อัญมณีและ เหรียญทองสเปน ที่ยังรอคนโชคดีที่จะค้นพบ

13 เม.ย. 59 เวลา 20:57 1,121 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...