พื้นที่ต้องอาถรรพ์"เซ็นทรัลเวิลด์"ต้องคำสาป"วังเพ็ชรบูรณ์"

เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ ๕สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงกรมในพระนามว่ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย สิ้นพระชนม์ในปี ๒๔๖๖ ขณะมีพระชันษาเพียง ๓๑ พรรษา ระหว่างทรงพระชนม์ รัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้สร้างวังให้ เรียกว่าวังเพชรบูรณ์ ทรงปรารถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น ทรงเกรงว่าทายาทยังเล็กหากทรงเป็นไปจะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาปของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แต่ทรงเชี่ยวชาญด้านศิลปะและดนตรีจึงมีน้ำพระทัยอ่อนผ่อนปรน ตั้งข้อยกเว้นไว้ว่าในกาลเบื้องหน้าถ้าผู้ใดมีน้ำใจเป็นกุศลใคร่ได้วังนี้ไปก็ต้องทดแทน ทรงระบุในข้อยกเว้นแห่งคำสาปว่าต้องไปสร้างศาลเจ้าพ่อเสือในที่ดินแปลงหนึ่งที่รังสิต

 

ล่วงมาราวปี ๒๕๒๐ บวกลบเล็กน้อยจำไม่ได้แล้ว มีนักกฎหมายเพื่อนกันที่ทำงานรับใช้เจ้านายมาหาผมเชิญให้ไปนั่งเป็นพยานเปิดพินัยกรรมของทายาทท่าน ได้ความว่าที่มาหาก็เพราะทราบว่าผมเกิดตรงวันที่กำหนดให้นั่งเป็นพยานและมีวิชาพอสมควรซึ่งเพื่อน ๆพอรู้จัก ก็รับงานเลย จึงได้ทราบเรื่องราวจากผู้ดูแลที่ดินแปลงนี้และผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น หลังเปิดพินัยกรรมแล้วต่อมาก็มีการนำที่ดินนี้ออกประมูลหาผู้ลงทุน ผลประมูลกลุ่มนายอุเทน เตชะไพบูลย์ชนะ ขณะนั้นตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองไทย ก็ตั้งใจตามดูว่าคำสาปจะเป็นอย่างไร ปี ๒๕๓๒ เรียน วปอ. อยู่ก็ได้เตือนเพื่อน คนในตระกูลนั้นว่าให้แก้คำสาป ไม่งั้นคงเสี่ยงในสิ่งที่มองไม่เห็นแน่ เขาไม่เชื่อบอกว่าพ่อเขามีซินแสดี มีการแก้ในเชิงฮวงจุ้ยที่หัวมุมตามหลักวิชาฮวงจุ้ย ทำเป็นเนินดินคล้ายฮวงซุ้ย และทำพิธีกรรมโดยผู้มีวิชาของปอเต๊กตึ้งอีกหลายอย่าง แต่ก่อสร้างไม่ทันเสร็จทั้งโครงการ ตระกูลเตชะไพบูลย์ที่มหามั่งคั่งก็มีอันเป็นไป ทั้งครอบครัวและทรัพย์สิน ดังที่รู้กันอยู่ ตระกูลจิราธิวัฒน์ก็มารับช่วงที่ดินและโครงการนี้ต่อมา คราวนี่หาผู้มีวิชาทางพราหมณ์ แนะให้แก้โดยสร้างตรีมูรติ ซึ่งเป็นมหาเทพในฮินดู ผลก็คือมีเทพต่าง ๆเต็มไปหมดทั้งพระอินทร์ พระพิฆเณศ หวังดูดซับพลังมาจากฝั่งท้าวมหาพรหมด้วย

 


แต่วันนี้ก็คงเห็นกันแล้วว่าแก้คำสาปได้หรือไม่ ก็ต้องคอยดูอนาคตของตระกูลจิราธิวัฒน์กันต่อไป เพราะตอนนี้ก็ยังไง ๆ พิกลอยู่ อันคำสาปนั้นเป็นการกระทำอธิษฐานชนิดหนึ่งในจำพวกอธิษฐานฤทธิ์ แต่จัดเป็นฤทธ์จำพวกไสยเวย์ คือมเชิญเทพหรือภูตหรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป หลังผู้สาบสิ้นแล้วก็จะต้องมารักษาคำสาปจนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทนนั่นเป็นมุมมองเชิงประจักษ์ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ในเชิงศาสตร์ลี้ลับแล้ว ความพินาศของห้างเซ็นทรัลเวิลด์มีความเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับ “อาถรรพณ์วังเพ็ชรบูรณ์” ที่ทำให้กลุ่มทุนขนาดยักษ์ของไทยอย่าง “เตชะไพบูลย์” และ “จิราธิวัฒน์” ต้องกระอักเลือดมาแล้วด้วยกันทั้งคู่
ยิ่งมีภาพรูปปั้นส่วนหัวของมนุษย์ที่มีดวงตาถลนแทบหลุดจากเบ้าตรงประตูทางเข้าห้าง โดยมีซากปรักหักพังของห้างเป็นฉากหลังก็ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของพื้นที่ที่ได้ชื่อว่า “เจ้าที่แรง” แม้จะมีการแก้เคล็ดมาแล้วหลายครั้ง!!
วันนี้ห้างเวิลด์เทรดในฝั่งห้างเซน มอดไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่าน จึงทำให้เสียงเล่าลือเรื่องคำสาปดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง “คม ชัด ลึก” ได้มีโอกาสสนทนากับ ไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในชุดรัฐบาล คมช.

 


ทว่า บทสนทนาไม่ได้ข้องแวะกับการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องคำสาปอาถรรพณ์ล้วนๆ ในฐานะที่คุณไพศาลเป็น “ประจักษ์พยาน” หนึ่งในสองคนที่ร่วมเปิด “พินัยกรรม” ของที่ดินผืนนี้ ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์ลี้ลับชนิดที่หาจับตัวยากคนหนึ่ง
เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้ว่า เมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน มีเพื่อนทนายซึ่งรับใช้เจ้านายวังเพ็ชรบูรณ์ต้องการหาคนไปเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรมฉบับดังกล่าว

//

แต่มีข้อแม้สำคัญว่า คนที่จะไปร่วมเป็นพยานจะต้องเป็นคนที่เกิด “วันพฤหัสบดี” และจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับบ้าง
ก่อนหน้านั้นเพื่อนของเขาพยายามหาทนายที่เกิดวันพฤหัสบดีไปเป็นเพื่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากไป เพราะไม่อยากไปนั่งเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรม แต่ตอนนั้นเขาเป็นทนายจบใหม่ และยังเกิดวันพฤหัสบดีด้วย พอเพื่อนคนนั้นมาชวนก็เลยตกปากรับคำไป
“พอไปถึงก็มีผู้หลักผู้ใหญ่มานั่งรอเปิดพินัยกรรมเยอะมาก สาระหลักของพินัยกรรมฉบับนี้ระบุว่า ที่ดินแปลงนี้จะต้องตกทอดแก่ทายาทเท่านั้น และให้เป็นไปตามพินัยกรรมทุกประการ หลังจากนั้นที่ดินดังกล่าวก็มีการตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น”
กระทั่งเมื่อที่ดินถูกโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงเริ่มมีการนำที่ดินออกประมูลเพื่อให้เช่าพัฒนา โดยตระกูลเตชะไพบูลย์ประมูลได้เป็นเจ้าแรก

 


“ตอนปี 2532 ผมไปเรียนวปอ. และเจอทายาทตระกูลเตชะไพบูลย์ จึงได้เตือนไปว่า ที่ดินแปลงนี้มีคำสาปอยู่ ให้ไปแก้ไขให้ดี เขาก็บอกว่าไม่ห่วงหรอก เพราะคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ มีความรู้เรื่องพวกนี้เยอะ และมีซินแสส่วนตัว หลังจากนั้นเขาก็ไปทำพิธีแก้ที่หัวมุมตึก และทำเนินดินขึ้นมาเหมือนฮวงซุ้ยเลย ทำเพื่อแก้ไขอะไรของเขาก็ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นการแก้แบบจีน”
แม้ตระกูลเตชะไพบูลย์จะทำพิธีแก้ไปแล้ว แต่ก็ต้องมาเจอกับวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 จนต้องเปลี่ยนเจ้าของเป็นตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งก็มีการเชิญพราหมณ์มาทำพิธี มีการตั้งศาลพระอินทร์ ศาลพระตรีมูรติ ศาลพระพิฆเนศ เพื่อแก้เคล็ด
“เขาหวังว่าพอมีพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพแห่งความสำเร็จก็จะดึงพลังจากพระพรหมมาหนุนด้วย แต่ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นจนได้ เพราะเป็นการแก้ไขไม่ถูกจุด”
ไพศาล อธิบายว่า สาเหตุที่ไม่ถูกจุด เพราะที่ดินผืนนี้เป็นหนึ่งในที่ดินที่ “ต้องคำสาป” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ที่ดินผืนแรก คือ “วังหน้า” อันเป็นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งท่านทรงรักทรงหวงมาก ไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติของคนอื่น จึงได้ทรงสาปแช่งเอาไว้
“พระองค์ทรงทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันฉิบหายตายโหงสามชั่วโคตร และทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาปด้วย จึงไม่มีใครกล้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าว”
ดังนั้น หลังเสด็จสวรรคตแล้วจึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าครอบครอง กระทั่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า หรือกรมพระราชวังบวรแล้ว ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง
กระทั่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ทางราชการจึงปรับใช้เป็น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” มาจนทุกวันนี้

 

ไพศาล ระบุว่า คำสาปชนิดนี้เป็นหนึ่งในจำพวก “อธิษฐานฤทธิ์” แต่ไม่ใช่ฤทธิ์ธรรมดา ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ในพุทธศาสนา แต่เป็นฤทธิ์จำพวกไสยเวท คือ มีการเชิญเทพ หรือภูต หรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป
หลังผู้สาปสิ้นแล้วก็จะต้องมา “รักษาคำสาป” จนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทน โดยคราวนี้มี 9 วิญญาณเข้ารับช่วงแล้ว และเหตุการณ์น่าจะยิ่งแรงกว่าเก่าก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเภทภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน เช่น บริษัทที่ออกแบบอยู่ดีๆ ก็เลิกกิจการไป หรือมีคนเสียชีวิต ส่วนมากจะตายเพราะเส้นเลือดสมองแตก
ส่วนวิธีแก้จะแก้ด้วยวิธีฮวงจุ้ย หรือพิธีพราหมณ์ไม่ได้ เพราะคำสาปเมื่อสาปแล้วเขาก็จะฝากเทพารักษ์ หรือภูตวิญญาณให้กำกับดูแล
เมื่อผู้สาปสิ้นไปแล้วก็จะต้องไปรักษาคำสาปอยู่จนกว่าจะมีคนมารับแทน ซึ่งจะคล้ายๆ กับกรณี “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั่นเอง!!
ฤาถึงคราวที่ 9 ดวงวิญญาณนั้นต้องจากไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : Another World.

เรียบเรียงโดย FANG ทีม BaaBinz.com

 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...