10 อันดับเจ้าพ่อบ่อน้ำมันของโลก กับสมบัติที่มีค่ามากกว่าทอง

          น้ำมัน ในประเทศไทยที่เดี๋ยวปรับเพิ่มและปรับลดลง เป็นเพราะอะไร แล้วเคยสงสัยไหมว่าประเทศที่มีน้ำมันมากที่สุด 10 อันดับของโลกมีประเทศอะไรบ้าง มีคำกล่าวที่ว่า ถ้าประเทศไหนมีน้ำมันประเทศนั้นจะร่ำรวย ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ จีดีพี และการส่งออกของประเทศผู้ค้าน้ำมันแล้ว จะเห็นได้ชัดเลยว่าคำกล่าวนั้นเป็นจริง เพราะน้ำมันถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงทำให้มูลค่าของมันค่อนข้างสูง อีกประการคือน้ำมันเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนแทบจะทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะ การผลิตไฟฟ้า การผลิตสินค้าต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้น้ำมันทั้งสิ้น

          พอกล่าวมาถึงตรงนี้คงเริ่มอยากรู้แล้วสิว่า ประเทศไหนในโลกที่มีทรัพยากรน้ำมันมากที่สุดในโลก คิด ๆ แล้วประเทศนั้นคงรวยน่าดู บังเอิ๊ญ บังเอิญกระปุกดอทคอมไปเจอบทความดี ๆ เกี่ยวกับประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบสำรองมากที่สุด 10 อันดับจากเว็บไซต์ Business Insider เลยอยากนำมาให้อ่านเผื่อเป็นความรู้ ว่าแล้วเราไปติดตามจากบทความนี้กันเลย

1. เวเนซุเอลา

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 297,700 ล้านบาร์เรล

          เวเนซุเอลายังคงต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 96% ของรายได้จากการส่งออก, คิดเป็น 40% ของรายได้รัฐ และคิดเป็น 11% ของจีดีพี ผลพวงจากสงครามราคาน้ำมันเมื่อปี 2014 บวกกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยฉุดให้เศรษฐกิจของประเทศเวเนซุเอลาย่ำแย่ลงอย่างมาก โดย ณ ตอนนี้ประเทศเวเนซุเอลาหวังพึ่งพาบรรดาพันธมิตรประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกที่จะมาช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันไม่ให้ผันผวนไปมากกว่านี้

2. ซาอุดีอาระเบีย

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 268,400 ล้านบาร์เรล

          ซาอุดีอาระเบียคือผู้บงการเบื้องหลังสงครามราคาน้ำมันเมื่อปีที่แล้วตัวจริงเสียงจริง โดยเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศนอกกลุ่มโอเปกปฏิเสธการลดราคาน้ำมันตามคำขอของผู้ค้าน้ำมันในกลุ่มโอเปก และยิ่งไปกว่านั้น ประเทศอิหร่านยังมีแผนการจะเพิ่มการส่งออกน้ำมันดิบเป็น 2 เท่าจากเดิมภายหลังพ้นจากการโดนคว่ำบาตร นอกจากนี้ประเทศอิหร่านยังผลักดันให้ประเทศสมาชิกประเทศอื่นในกลุ่มโอเปกต่ออายุระบบโควตาคาร์เทลออกไปอีก ซึ่งการกระทำเหล่านี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับซาอุดีอาระเบียภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

3. แคนาดา

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 173,200 ล้านบาร์เรล

          น้ำมันที่ผลิตในประเทศแคนาดาถูกส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่าแคนาดาคือผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของอเมริกาตัวจริง อย่างไรก็ตาม จากรายงานล่าสุดแสดงให้เห็นว่า oil sand (แหล่งปิโตรเลียมรูปแบบใหม่ประเภทหนึ่ง โดยปิโตรเลียมชนิดนี้มีส่วนประกอบของทราย โคลน น้ำและ bitumen ที่มีความหนาแน่นและความหนืดสูง) ของประเทศแคนาดามีความเข้มข้นของคาร์บอนกว่า 20% ซึ่งมากกว่า oil sand ของประเทศอื่น นั่นหมายความว่า ถ้าแคนาดาส่งออก oil sand ให้กับสหรัฐฯ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณที่มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าผู้ใช้รถทั้งหมดในอเมริกาจะเติมน้ำมันในปริมาณเท่าเดิมก็ตาม

4. อิหร่าน

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 157,300 ล้านบาร์เรล

         เรียกได้ว่าน้ำมันดิบของอิหร่านเปรียบเสมือนใบอนุญาตที่ทำให้อิหร่านกลับเข้าสู่สมรภูมิการแย่งชิงความเป็นประเทศผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างแท้จริง นักวิเคราะห์เชื่อว่าการกลับเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลกของอิหร่านจะทำให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนี่อาจเป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย และอิหร่านกับรัสเซียก็เป็นไปได้

5. อิรัก

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 140,300 ล้านบาร์เรล

         เศรษฐกิจของประเทศอิรักขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเสียเป็นส่วนใหญ่ และผลจากการที่ราคาน้ำมันตกต่ำในปี 2014 ทำให้รัฐบาลอิรักสูญเสียรายได้ไปกว่า 30% และในปี 2015 อิรักก็เป็นอีกหนึ่งผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในกลุ่มโอเปกที่ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจนทำให้ซัพพลายของน้ำมันมากเกินความต้องการ เลยทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทำสถิติในรอบหลายปี

6. คูเวต

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 104,000 ล้านบาร์เรล

         ปิโตรเลียมในประเทศคูเวตคิดเป็นมูลค่าเกิน 50% ของจีดีพีของคูเวต โดยภายในปี 2020 ประเทศคูเวตมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เป็น 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน และหลังจากที่ประเทศอิหร่านโดนคว่ำบาตรเมื่อปี 2012 ก็ทำให้ประเทศคูเวตและซาอุดิอาราเบียได้ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดน้ำมันเอเชียจากอิหร่านไปโดยปริยาย

 

7. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 97,800 ล้านบาร์เรล

          สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศผู้ค้าน้ำมันอีกประเทศที่เจริญก้าวหน้าหลังจากที่ขุดเจอน้ำมันเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และจากเหตุการณ์ราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างรวดเร็วเมื่อปี 2014 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คือหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

8. รัสเซีย

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 80,000 ล้านบาร์เรล

          ถึงแม้ว่ารัสเซียจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศอิหร่านถูกคว่ำบาตร แต่ล่าสุดน้ำมันสัญชาติอิหร่านกำลังจะกลับมาป็นคู่แข่งสำคัญทางการค้ากับรัสเซีย ซึ่งนี่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับรัสเซียอย่างแท้จริง เนื่องจากว่าอิหร่านพยายามที่จะเอาชนะรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในตลาดของยุโรปมาตลอดหลายปี

9. ลิเบีย

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 48,470 ล้านบาร์เรล

          เศรษฐกิจในประเทศลิเบียเกือบจะทั้งหมดขึ้นอยู่กับปิโตรเลียม ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว (2014) ยอดการซื้อขายน้ำมันและแก๊สทั่วโลกดิ่งลงอย่างรุนแรง ผลมาจากเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่นำไปสู่การปิดท่าเรือขนส่งน้ำมัน ส่งผลให้น้ำมันหายไปจากระบบเป็นจำนวนมาก

10. ไนจีเรีย

ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 37,140 ล้านบาร์เรล

          นับตั้งแต่ปี 1970 การส่งออก “น้ำมัน” ถือได้ว่าเป็นรายได้หลักของรัฐบาลไนจีเรีย แต่ทว่าปี 2014 ไนจีเรียต้องเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำถึงขีดสุด และยังต้องเผชิญกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่ดุเดือดอันเนื่องมาจากการกลับเข้าสู่สังเวียนผู้ค้าน้ำมันดิบของประเทศอิหร่าน

          10 ประเทศที่ได้ไล่เรียงกันไปต่างก็เป็นประเทศผู้ค้าน้ำมันเจ้าเก่าเจ้าประจำที่นอกจากจะรวยน้ำมันแล้วยังร่ำรวยเงินทองที่ได้มาจากการขายน้ำมันอีกต่างหาก จะว่าไปประเทศเหล่านั้นก็โชคดีที่มีน้ำมันเป็นของตัวเอง แต่หลายประเทศที่เป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ต่างก็มีที่ตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย จะเพาะปลูกอะไรก็ยากลำบาก อาหารจำพวกพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ต้องนำเข้า ตรงสุภาษิตไทยกล่าวไว้ "ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง" ไม่มีใครได้อะไรไปเสียหมด

          แต่อย่างไรก็ตาม "น้ำมัน" เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วมีวันหมดและยากที่จะมีขึ้นมาทดแทนในเวลาอันรวดเร็ว เพราะแค่ของเดิมที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้เวลานับล้าน ๆ ปีกว่าจะกลายมาเป็นน้ำมันที่พวกเราใช้เติมกัน ดังนั้นเราทุกคนควรจะใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อที่เราจะได้มีน้ำมันเหลือไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้บ้างยังไงละครับ

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...